User-agent: * Allow: / นิทานเซน Zentale

วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ในเพลงเย้ยยุทธจักร จัดว่าเป็นเซน Zen รึว่า เซ็น รึเปล่า ฟังเพลงกันบ้างดีกว่านะคะ



แปลได้ว่า


ทะเลสรวล สาดเซาะ ชายฝั่ง

ฝูงคลื่น สาดซัดฝั่ง เราเห็น

สวรรค์หัวเราะ เยาะเย้ย พสุธาคลั่ง

"พวกเขา"เท่านั้น ที่กำหนด ผู้ชนะหรือแพ้


ภูผาสำรวล เริงร่า พายุยัง ห่างไกล

คลื่นเมื่อถึงฝั่ง โลกก็ยัง คงอยู่

สายลม แอบหัวเราะ ความเงียบ(เหงา) สิ้นสูญพลัน

แม้กาลผ่าน ล่วงเลยไป สายสัมพันธ์ ยังแฝงด้วย คับแค้น

แอบหัวเราะให้กับ กาล(เวลา)ที่ผ่านไป เดียวดายอยู่ กลางมหานที(แห่งความเหงา)

สุดท้าย....ฉันเหลือ แต่ความอำมหิต ทดแทน สำนึกรู้ถูกผิด.... 
...................................................................................................

The seas laugh, lashing on both coasts.
ทะเลบ้าคลั่ง ถาโถมเข้าสู่ฝั่ง

Carried in the waves, we have only now.
เพียงเราในปัจจุบัน ลอยคออยู่บนคลื่น

The heavens laugh, at the troubled world.
สวรรค์หัวเราะ กับโลกที่ป่าเถื่อน

Only they know, who is to win or lose.
มีแต่พวกมันรู้ ใครจะอยู่จะไป

The mountains laugh, the rain is afar.
ภูผาหัวเราะ ท้าทายห่าฝน

When the waves grow old, the world still goes on.
เมื่อคลื่นสงบลง โลกยังคงอยู่

Sniggering at the wind, lost in quiet solitude.
เสียงหัวเราะของลม ทำลายความเงียบงัน

Bygone camaraderie bequeaths a tinge of melancholy.
มิตรภาพที่ผ่านพ้น แต่งแต้มความเศร้าโศก

Sniggering at my wasted life, afloat in the sea of loneliness.
เสียงหัวเราะเพรียกเรียกชีวิตฉัน ยังคงล่องลอยในโลกวิญญาณ

I only have my cynicism to redeem my sanity.
มีแต่โลกที่โหดร้าย คอยฉุดรั้งวิญญาณไว้
................................................................................

...ขุนเขายะเยือกหวังเพียงผู้เดินทางผ่าน
ไป ให้ไกลสุดไกล
เพียงคนเดินผ่าน นั้นไปไม่มีวันสิ้น
กองเกวียนยังเคลื่อนไหล
ชีวิตมีวันสิ้น...คนไม่มีวันพอ







วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ใจไม่สงบ

นิทานเซ็น : ใจไม่สงบ

ภิกษุรูปหนึ่งซึ่งมาขอรับคำสอน กล่าวแก่ท่านโพธิธรรมว่า
“ ใจของผมไม่สงบ ได้โปรดช่วยทำให้ใจของผมสงบลงด้วย 
“ ไหนลองเอาใจของเธอมาให้ฉันดูซิ ” ท่านโพธิธรรมตอบ “ แล้วฉันจะทำให้มันสงบ
“ แต่เมื่อผมหาใจของผม ” ภิกษุรูปนั้นกล่าว “ ผมก็หามันไม่พบ 
“ นั่นไง ” ท่านโพธิธรรมสวนมาทันควัน “ ฉันได้ทำให้ใจของเธอสงบแล้ว 

สำหรับนิทานเซ็น Zen  หรือ เซน เรื่องนี้นั้น สั้นมากๆ  เนื้อเรื่องก็สั้น ความเข้าใจก็สั้น ผู้ที่อ่านแล้ว น่าจะทำความเข้าใจได้เลยทันที
อย่างเช่นผู้เขียนนั้น เข้าใจเลย ไม่ได้ว่าเก่งกาจอะไร แต่นั่นเป็นเพราะว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับชีวิต
มีบางอย่างที่ผู้เขียนบล็อคไม่ชอบมากๆ และของสิ่งนี้ ผู้เขียนบล็อค จะได้เจอ มองเห็น สัมผัส รวมถึงได้ยินตลอดเวลา 
วันหนึ่ง ขณะที่กำลังไปเดินที่ห้างสรรพสินค้า ซึ่งเป็นกิจกรรมของผู้ที่ไม่มีรายได้ ที่พึงหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด ควรจะต้องหลีกออกไปให้ไกลนั้น ผู้เขียนกำลังเลือกของ เปรียบเทียบราคาด้วยความสบายอารมณ์ มีความสุขมากที่สุด เรียกว่าเดินได้เพลิน ซื้อหรือไม่ก็ว่ากันอีกที เลือกไปเรื่อยๆ อันนี้น่ากิน อันนี้ถูก อันนี้แพงแฮะ เงียบๆ เรื่อยๆ


สักพักหนึ่ง ผู้ที่ไปเดินในห้างสรรพสินค้าแห่้งนั้น เดินเข้ามาหาผู้เขียน แล้วร้องทักว่า นี่ๆ ได้ยินปะ เค้าว่าป่านนี้ ...ผู้เขียน ต้องปวดหัว และหนวกหูมากๆ 
ในนาทีนั้น เสียงที่ไม่อยากได้ยิน เข้ามาในหูทันที มันดังกึกก้อง และทรมานมากๆ ผู้เขียนถึงถามผู้ที่มาด้วยว่า นี่เค้าเปิดมานานแค่ไหนแล้ว ผู้นั้นตอบว่า โอย..เปิดมาตั้งแต่เราเข้ามาหละ นี่เราก็เดินๆไป เป็นห่วงเอ็ง เลยเข้ามาถามเนี่ย
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ผู้เขียน ไม่เคยได้ยินเสียงนั้นมาก่อนเลย จะกระทั่ง เพื่อนที่มาด้วย ได้เข้ามาทัก ผู้เขียนจึงเกิดอาการ ได้ยิน และเมื่อได้ยินแล้ว ผู้เขียนก็ไม่สามารถทนอยู่ในพื้นที่นั้นได้อีกต่อไป และไม่ว่าทำอย่างไร ก็ไม่สามารถขจัดเสียงที่ดังกึีกก้องในหูนั้นออกไปได้เลย
ถ้าผู้เขียนเป็นเซน เซ็น หรือว่า Zen ที่แท้จริง ก็คงจะตัดใจได้ เสียงที่ก่อให้เกิดความไม่สบายใจก็คงจะถูกตัดออกไปได้ในไม่ช้า

แต่นี่ ผู้เขียน ยังไม่สามารถทำได้ สิ่งที่ทำได้มีเพียง การหลบหนีออกจากตรงนั้น

ฟังดูแล้ว ไม่น่าจะเป็นวิธีที่ดีในการแก้ปัญหา แต่ถ้าปัญหาบางอย่างมันยากเกินจะแก้ไข สิ่งที่เราทำได้ เพื่อตัวเราเอง เพื่อการอยู่รอดของตัวเรา อาจจะเป็นเพียง การไม่มองมัน หรือลดขอบเขตเพื่อที่จะกำหนดว่ามันคือปัญหา ให้กลายเป็น มันไม่ใช่ปัญหาทดแทนกันไป


สิ่งใดไม่ถูกใจ และไม่ใช่เรื่องที่แก้ไขได หรืออาจเป็นความผิดปกติของเราเองที่มองว่าสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง ไม่ปกติ สิง่ที่เราทำได้ เพื่อแก้ไขปัญหานั้น อาจจะเป็นการหยุดมอง หยุดคิด หยุดรับฟัง แล้วปัญหาต่างๆเหล่านั้น อาจจะดีขึ้นมาได้เองในที่สุด

ไม่ใช่วิ่งหนี แต่เลิกพิจารณา เพื่อหาจุดที่สมดุล ให้เราอยู่ได้ ในสังคมนั้นๆ

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ไม่มีน้ำในพระจันทร์

ไม่มีน้ำไม่มีพระจันทร์
โพสท์ในเวบพันทิป ห้องศาสนา โดยคุณ : ZKEI - [ 20 พ.ค. 48]
แม่ชีจิโยโน ศึกษาเซ็นจากท่านบักโก แห่งสำนักเองคากุเป็นเวลานาน
แต่ไม่สามารถบรรลุผลแห่งสมาธิภาวนาเลย


ในที่สุด ณ คืนวันเพ็ญคืนหนึ่ง ขณะเธอกำลังหาบถังน้ำเก่า
ที่ดามด้วยซี่ไม้ไผ่ ไม้ดามหัก ก้นถังทะลุหลุดจากตัวถัง
ทันใดนั้น เธอก็เป็นอิสระ (จากกิเลส)


เธอเขียนกลอนไว้เป็นที่ระลึกบทหนึ่งว่า
ฉันพยายามทุกวิถีทาง ที่จะรักษาถังน้ำเก่าๆ ใบหนึ่ง
เพราะไม้ท่อนนี้เปราะ ใกล้หักเต็มที
ในที่สุด ก้นถังก็ทะลุ
ไม่มีน้ำในถังอีกแล้ว
ไม่มีพระจันทร์ในน้ำอีกแล้ว



วันนี้เอานิทานมาขึ้นก่อน ก่อนจะเล่าเรื่องราว เพื่อเทียบและอ้างอิงไปกับนิทาน ตามความเข้าใจแบบส่วนตัวที่สุด อาจไม่มีหลักการใดๆ มีแต่การทำไปเพราะว่าอยากทำ และคิดว่าคนแบบเรานี้ อาจจะประสบความสำเร็จ(ร่ำรวย)ได้ยาก แต่ถ้าถามตอนนี้ละก็สบายใจเป็นที่สุด 

ความสำเร็จที่ทุกคนอยากจะประสบคืออะไรกัน อยากให้ทุกคนลองถามตัวเองดูกันบ้าง ถามใจตัวเอง มองใจตัวเอง มองเข้าไปทำความเข้าใจกับตัวตนที่เป็นอยู่ของตนเองแล้วจะได้รู้ใจตัวเองว่า ความสำเร็จที่ต้องการคืออะไร อย่ามองออกแต่ข้างนอก มันจะยิ่งทำให้เกิดทุกข์ อยู่กับตัวเอง เข้าใจตัวเอง และรักตัวเอง เมื่อความรักที่มีต่อตัวเองมีมากพอ มันจะเผื่อแผ่ไปต่อคนที่อยู่รอบๆเราในสังคมเอง

ในฐานะที่เขียนบล็อคนี้ขึ้นมาเอง ก็จะบอกกับตัวเองเอาไว้ว่า เราเคยตั้งเป้าหมายในชีวิตเอาไว้สูงส่ง สูงส่งในที่นี้คือการมองจากมุมมองของสังคม ของค่านิยมในตลาด ซึ่งไม่รู้ว่าถูกหรือผิดหรือไม่อย่างไร แต่เราคิดเอาเองว่าดี เราต้องการที่จะเป็นคนสวย รวย เก่ง ซึ่งมันไม่ใช่ตัวเรา และไม่้มีคุณสมบัติเหล่านี้อยู่ในตัวของเราเลยแม้แต่น้อย


เมื่ออยากจะเป็นแต่ว่าเป็นไปไม่ได้ ความอยากนั้นก่อให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาภายในใจของเราอย่างที่เรียกว่า ทำให้ทรมานทั้งกายและใจ เท่านั้นยังไม่พอ บุคคลซึ่งรักเรา ยังต้องทรมาน ทำให้ท่านทั้งสองคนไม่สบาย ท่านต้องอาย จนเรากลัว ว่าเราจะใช้กรรมเหล่้านี้หมดไปชาติไหน 

แต่ถึงอย่างไรแล้ว ตอนนี้ ชีวิตเราดีขึ้นมาก (ในสายตาเราเอง คนอื่นเราก็คงไม่รู้) มีบ้านอยู่ มีเงินพอใช้อย่างประหยัด เรามีหนทางและความหวังรวมถึงความมั่นใจในศักยภาพของเราในการทำมาหากินรวมทั้งปกป้องชีวิตของเราที่ไม่รู้ว่าจะอีกยาวนานแค่ไหน แต่ความมั่นใจของเรา คงไม่หมดไปง่ายๆ และเราคิดว่า ความมั่นใจนี้ มันจะเป็นแรงทำให้เราสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้นได้ และทำให้เราสามารถใช้ชีวิตที่เหลือนั้นได้ในสังคม

ทั้งหมดนี้ เราคิดว่า เราประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว หลายคนอาจหัวเราะเยาะว่า ไร้สาระ เหมือนกับว่า มองว่าเราล้มเหลวไปทุกอย่าง แต่เชื่อไหม ถึงพวกคนเหล่านั้นจะสั่นคลอนความมั่นใจของเราได้บ้าง แต่เราคิดว่า มันจะไม่มีวันหมดไป วันนี้สิ่งที่เราต้องการ และคิดว่าต้องทำให้มันเกิดขึ้น คือการรักษาและดูแลตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อให้การดำรงอยู่ของเราในอนาคต และปัจจุบัน มีความสุขที่สุด

 และความสุขของเรา จะต้องไม่ไปทำให้ใครเดือดร้อน ความสุขที่สุดของเรา จะเกิดขึ้นเสมอ เมื่อเราพบว่า เราทำได้ และเราทำแล้วมีความสุข ไม่ใช่อดทนกลั้นใจทำ แบบนั้น เรายอมอยู่เฉย ไม่ทำอะไรเลย แบบคนไร้สาระ (ไม่ต่างอะไรกับทุกวันนี้เท่าไหร่นัก ดูๆไปแล้ว) เอาเหอะ ก็ชั้นว่าดี เซ็น Zen เซน บอกว่าดี แหะๆ เอาตัวเองว่าเป็นเซน ไปแล้ว 



แต่กระนั้น เมื่อมองเปรียบเทียบในนิทาน แม่ชีเซน ที่ได้หลุดพ้นจากกิเลส บรรลุธรรมเมื่อถังไม้พังนั้น และยังได้กล่าวว่า ไม่มีพระจันทร์ในน้ำอีกแล้ว จากตรงนี้ เราคงคิดว่า เราทำไม่ได้แบบแม่ชี เราไม่เคยบรรลุ แต่เราคิดว่า เราเข้าใจตัวเรามากขึ้น

ตามความเข้าใจในนิทานเซนเรื่องนี้นั้น แม่ชีเซนได้บรรลุธรรม เพราะว่าถังน้ำที่ผุพังที่ตนเฝ้ารักษาและดูแลเพื่อใช้ประโยชน์ในการหาบน้ำนั้น ได้ผุพังลงแล้ว 
แต่ถ้าเป็นแค่นั้น คงยังไม่เพียงพอสำหรับเซน เซนมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น (ผู้เขียนคิดเอาเอง) ในนิทานยังได้กล่าวถึงพระจันทร์ที่อยู่ในถังนั้น ที๋ได้หายไปพร้อมกัน กับถังน้ำที่แตกนั้น ซึ่งสำหรับตัวผู้เขียนนั้น คิดว่า ตรงนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้แม่ชีบรรลุมากกว่า 


ในสมัยก่อน เมื่อครั้งยังไม่มีไฟฟ้า กลางคืนที่มืดมิด และอากาศค่อนข้างเยือกเย็น จะมีเพียงพระจันทร์เท่านั้น ที่คอยส่องแสงสว่าง ให้ทางและความรื่นรมณ์ของคนในยุคนั้น อาจจะมีคนเถียงว่า แค่พระจันทร์ จะสร้างความรื่นรมย์ได้ยังไง ถ้าคิดแบบนี้ คงต้องลองขังตัวเองในห้องมืด โดยที่ไม่ต้องนอนหลับ ขังตัวเองเอาไว้ เป็นเวลานานสัก 2ชั่วโมง โดยที่ไม่สามารถจะหลับได้ แล้วลองออกมาตอบว่า มีความรู้สึกอย่างไรในห้องที่มิดมิดนั้น 



ถ้าตอบว่า รู้สึกดี ก็ให้เลิกอ่านบล็อคนี้ต่อไป แต่จะเข้ามาดูหัวข้ออื่นต่อก็ได้ ไม่ว่ากัน เพราะโดยส่วนตัวแล้ว การอยู่คนเดียวในที่มิืดมิด ไม่ทำให้ใจรู้สึกสบายเลยแม้แต่น้อย 
หายใจไม่ออก ม่านตาขยายเพื่อรับแสงเข้ามาให้มากที่สุด จะเกิดอาการปวดหัว หายใจไม่ทั่วท้อง และเหมือนว่า ถูกตัดขาดจากโลกไปแล้ว


พระจันทร์จึงมีคุณค่า เปรียบเสมือนกับแสงสว่างในยามมืดมิด และแสงจันทร์นั้น เราสามารถเพ่งมองไปได้ตรงๆ ไม่เหมือนกับดวงอาทิตย์ ที่ถ้ามองตรงๆ ก็คงมองได้ครั้งเดียว จากนั้นอาจจะต้องไปรื่นรมณ์กับโลกมืดตลอดกาล

พระจันทร์จึงไม่มีเพียงความหมายถึงแสงสว่างเท่านั้น แต่ยังคงรวมถึงความงามที่สัมผัสได้ด้วยตา แต่ไม่อาจจับต้อง เนื่องจากอยู่สูงเกินจะไขว่คว้า


เปรียบกับทุกวันนี้เมื่อเทียบเคียงกับสังคมมนุษย์ ก็คงเหมือนสาวๆทั่วไป ที่อิจฉาดารา หรือคนรอบข้าง เพราะว่าเขาสวย รวย มีโอกาส และสมบูรณ์พร้อมได้มากกว่าตน
และแม้ว่าจะพยายามดิ้นรนมากมายสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถไปถึงจุดที่ตนต้องการได้อยู่ดี เพราะว่าอะไร เพราะว่า เราไม่ใช่เขา ที่ตัวเราอิจฉานั่นสิ

หากยังทำถังน้ำใบนั้นให้แตกไม่ได้ ก็แค่ลองเทน้ำที่อยู่ในถังออกให้หมดเสียก่อน จะได้ไม่ต้องทนแบกน้ำนั้น อย่างน้อยมันก็เบาขึ้น แล้วเก่งกาจขึ้นมาเมื่อไหร่ หรือเวลาผ่านไป ถังไม้นั้น ก็จะผุพังไปกาลเวลา แล้วความสุขก็น่าจะเกิดขึ้นตามมาเอง
ผิดพลาดประการใด ผู้เขียนบล็อคต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้เป็นอย่างมากเลยนะคะ แต่อยากให้ทุกคน รักและเอาใจใส่ตัวเองให้มากๆ ให้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบันอย่างมีความสุข อย่ามัววิ่งตามคนอื่น พอใจในสิ่งที่เป็น ทำอะไรได้ไม่เดือดร้อน ให้ตัดสินใจทำได้แล้ว ไม่ต้องรีรอ ไม่ก่อประโยชน์อะไร แต่การกระทำใดๆ ไม่ควรให้ร่างกาย ต้องแบกภาระที่หนักอึ้ง มากขึ้นกว่าเดิม

ขอบคุณค่ะ


วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ผู้เดินทางแห่งกาลเวลา

ช่วงนี้เจ้าของบล็อคไม่ได้นั่งเขียนอะไรเองเท่าไหร่เลยนะคะ เพราะว่าคีย์บอร์ดโน๊ตบุ๊คนั้นพิมพ์ยากมาก และจะต้องบอกเพิ่มเติมอีกว่า นิ้วหัวแม่โป้งขวามือโดนตัวเองเฉือน ขาดไปซะครึ่งหนึ่ง ทำให้สภาวะตอนนี้ ไม่ได้ต่างอะไรกับลิง ที่ไม่สามารถกำ หรือ จับอะไรได้เหมือนกับคนทั่วไป



และต้องบอกว่า นั่นคือสาเหตุและเหตุผลหลักที่ทำให้อารมณ์ต่างๆในการรวบรวมข้อมูลที่จะเขียนยิ่งยากไปอีก

วันนี้อาจจะดูเหมือนไม่เกี่ยวกับเซน แต่จริงๆแล้ว เจ้าของบล็อคคิดว่า นี่หละ เซ็น ถึงแม้ว่าอาจจะดูเหมือนคิดเองเออเอง แต่นี่ทำให้การคิดตระหนักว่าตัวเองเป็นเซ็น Zen อะไรเนี่ย ยิ่งล้ำลึก ฟุ้งซ่านมากขึ้นไปอีก

เป็นบทแปลที่มาจากหนังสือการ์ตูนเรื่องโปรด โดราเอมอน ฉบับที่แปลโดยสำนักพิมพ์เนชันเท่านั้นนะ สำเนักพิมพ์อื่นไ่ม่เห็นว่ามีกลอนแบบนี้อยู่ เป็นโดราเอมอนตอนยาว ฉบับไหนก็ไม่แน่ใจ แต่ว่า เจ้าของบล็อคโปรดปรานมาก ถึงกับไปลอกไว้ในสมุดเรียนน่าจะสมัยเรียนม.3 นานมาแล้ววววว

Doraemon picture take from http://en.wikipedia.org/wiki/Doraemon

"ผู้เดินทางในกาลเวลา

เอนตัวลง ท่ามกลางหญ้าเขียวขจี
หนุนฝ่ามือ นอนสักนิด ดีกว่ามีชีวิตอย่างรีบร้อนไปใย
ใต้แผ่นฟ้าที่เงียบสงัดแบบนี้ หมู่เมฆที่ไหลไปตามกระแสลม บ่นพึมพำเรื่องราวสมัยก่อน แล้วย้อนผ่านเลยไป

พระอาทิตย์ยังคงส่องแสง ตั้งแต่ร้อยล้านปีก่อน ฟ้าก็เป็นสีครามเหมือนกับวันนี้
เบื้องหน้าดวงตะวันที่กำลังจมลงทะเล

ฉันรู้สึกอยากจะมีจิตใจที่อ่อนโยน หัวใจเจ้าเอย จงสงบเงียบ



ใกล้ๆดวงตะวันยามเย็นสะท้อนแสง คลื่นแรงระลอกเข้ามาใกล้
จากทะเลลึกออกไป นำพาความทรงจำครั้งก่อนสาดซัดเข้ามา

ใครบางคนก็เคยนั่งอยู่ตั้งแต่เมื่อหมื่นปีก่อน ที่ริมหาดทรายสีขาวเหมื่อนอย่างเธอตอนนี้

ฝนก็เคยโปรยปรายตั้งแต่เมื่อสองพันปีก่อน ใครบางคนก็เคยเปียกปอน เหมือนอย่างฉันตอนนี้

ฝนก็เคยโปรยปรายตั้งแต่เมื่อสองพันปีก่อน ใครบางคนก็เคยเปียกปอนเหมือนอย่างฉันตอนนี้"



พอถอดเป็นภาษาไทย ดูไม่ออกเลยว่าเป็นกลอน จะต้องเรียกว่า กลอนเปล่า แต่เจ้าของบล็อคมั่นใจอย่างมาก ว่าจะต้องเป็นกลอนที่ไพเราะ และลึกซึ่งกินใจเป็นอย่างยิ่ง

ถ้าตามความเ้ข้าใจของตัวเองก็คงจะต้องพูดว่า นี่เป็นการบอกถึงการพยายามหวนคิด ถึงเรื่องราวที่ทุกข์ทนของชีวิตที่เร่งรีบ และร้อนรนในกาลเวลาแห่งปัจจุบัน

การมีชีวิตอยู่ในกระแสแห่งสังคมของความเร่งรีบ ความทันใจ ยุคสมัยที่ทุกอย่างสามารถสั่งถึงด้วยปลายนิ้ว นับ 1 2 3 แล้วสิ่งที่เราต้องการก็มาอยู่ในกำมือได้ทันทีอย่างไำม่มีความล่าช้า




จนทำให้เรากลายเป็นคนที่ไม่รู้จักรอ ไร้ความอดทน เรากลายเป็นคนแบบนั้นไปแล้ว รู้ตัวกันบ้างหรือเปล่า

แค่รอเติมแก๊สที่ปั๊มแก๊สสักสามสิบนาที เพราะว่าตอนนี้ในจังวัดมีปั๊มแก๊ส ngv อยู่แค่เจ้าเดียว ก็ถึงกับต้องบ่นพึมพำออกมาอย่างไมชวนให้ฟัง โดยที่คนที่ำได้ยินคือคนที่นั่งอยู่ข้างๆรถคันที่ตัวเองนั่งนั้น ไม่ใ่ช่ใคร

แค่รอคิวกดเงินก็วุ่นวายใจ ปากพึมพำก่นด่า คนข้างหน้าที่เงอะงะไม่รู้ความ

แค่รอให้ใครบางคนใช้ทางข้าม ก็บีบแตรไล่

แค่รอลูกอาบน้ำแต่งตัว ก็โมโหด่า หาว่าไม่รู้จักเตรียมตัว ให้รีบๆ

ถามว่าชีวิตแบบนี้ มีความสุขมากไหม

ได้่ด่าแล้วสบายใจขึ้นมามากหรือเปล่า



แล้วถ้าเปลีย่นจากคนด่า มาเป็นคนถูกด่าแล้ว คุณยังรู้สึกดีเหมือนเดิมไหม

ไม่มีใครอยากถูกด่าหรอกนะ แล้วก็ไม่มีใครอยากโดนโมโหด้วย

หัดมองในมุมต่างซะบ้าง

ถ้าคุณเป็นคนเชื่องช้าซะเอง ไม่ใช่ตั้งใจจะให้ช้า แต่เห็นว่าไม่จำเป็นจะต้องรีบ เพราะค่อยๆทำก็ทำได้ คุณจะรู้สึกยังไง

ที่มีคนบ่นว่าคุณช้า อยู่ทุกสองวินาที

ไม่มีใครไม่เคยต้องอดทนหรอกนะ ทุกคนต่างก็ต้องรอ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเมื่อสองพันปีก่อน เหมือนอย่างในกลอนนี้ก็ได้ แค่คิดถึงสมัยคุณยังเป็นเด็กอยู่ ว่าคุณต้องรอนานแค่ไหน แค่ความสะดวกสบายในปัจจุบัน ทำให้คุณกลายเป็นคนที่คอยตำหนิผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา

แต่ถ้าผู้อื่นต้องรอคุณ คุณกลับเห็นว่านั่นคือการรอที่มีคุณค่า เป็นผู้ใหญ่นี่นะ ทำอะไรก็ถูกต้องเสมอ

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ที่มาของ เซน เซ็น หรือ Zen



พุทธศาสนานิกายเซ็นเป็นพุทธศาสนานิกายหนึ่งที่พัฒนาขึ้นในดินแดนจีนช่วงคริสต์ศตวรรษที่ และ โดยการผสมผสานแนวคิดของพุทธศาสนาฝ่ายมหายานจากอินเดีย และปรัชญาเต๋าในจีน


 คำว่า “เซ็น”หรือ เซน (Zen) นี้มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสฤตว่า “ธยานะ” (Dhyana) และภาษาบาลีว่า ฌาน” (Jhana) ที่แปลว่า “สมาธิ” 


เมื่อพุทธศาสนาเผยแพร่สู่ดินแดนจีน ชาวจีนได้ออกเสียง “ฉาน” (Ch’an) ต่อมาจึงพัฒนาเป็นพุทธศาสนานิกายฉาน และดินแดนญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลของแนวคิดนิกายฉานนี้เข้ามา


 ที่เรียกเป็นพุทธศาสนานิกายเซ็นก็เพราะชาวญี่ปุ่นออกเสียงคำว่า “ฉาน” เป็น “เซ็น ต่อมาพุทธศาสนานิกายนี้ได้พัฒนาออกไปเป็นหลายสำนักแต่มีแนวคิดหลักร่วมกัน คือ เป็นพุทธศาสนาที่เน้นการปฏิบัติสมาธิ 



จุดกำเนิดของแนวคิดนิกายเซ็นมีมาแต่ครั้งพุทธกาลจากพระสูตรที่ว่าด้วยปัญหาที่ ท้าวมหาพรหมทูลถามพระพุทธองค์ ดังเนื้อความต่อไปนี้

 

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ ภูเขาคิชกูฎ ท้าวมหาพรหมได้มาถวายดอกไม้เป็นพุทธบูชา แล้วนั่งลงกราบทูลให้ทรงแสดงธรรม  พระตถาคตจึงได้ทรงแสดงโดยการชูดอกไม้ขึ้น ณ ท่ามกลางสันนิบาต แล้วมิได้ตรัสอะไร ในขณะนั้น ปวงเทพและมนุษย์ทั้งหลายต่างไม่เข้าใจในความหมาย มีแต่พระมหากัสสปะยิ้มน้อยๆ อยู่  พระโลกนาถเจ้าจึงตรัสว่า ตถาคตมีธรรมจักษุอันถูกตรงพระนิพพานและจิตที่เยี่ยม ภาวะที่แท้จริงย่อมไม่มีลักษณะ มอบให้แก่มหากัสสปะแล้ว

(ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์, 2530: 9-10)

จากการที่พระมหากัสสปะผู้มีความเป็นเลิศในทางปัญญา ได้รับสังฆาฏิจีวรของพระพุทธองค์ 

จากจุดนี้ทำให้เกิดธรรมเนียมการส่งมอบ จีวร สังฆาฏิ และบาตร ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ในการสืบทอดตำแหน่งพระสังฆปรินายกของนิกายเซ็น

 ถ้าถือตามพระสูตรนี้จะถือได้ว่า พระมหากัสสปะเป็นพระสังฆปรินายกองค์ที่ ในอินเดียและมีการสืบต่อกันมาจนกระทั่งถึงพระสังฆปรินายกองค์ที่ 28 ซึ่งก็คือ พระโพธิธรรม (Bodhidharma) 

ท่านได้นำุทธธรรมเข้ามาเผยแพร่ในดินแดนจีน โดยสั่งสอนธรรมให้กับท่านฮุ่ยเคอ (Hui c’o) พุทธศาสนานิกายเซ็นในดินแดนจีนจะนับพระโพธิธรรมว่าเป็นพระสังฆปรินายกองค์ที่

จากนั้นได้มีการสืบทอดตำแหน่งเรื่อยมา จนถึงสมัยของพระสังฆปรินายกองค์ที่ คือ ท่านฮุ้ยเน้ง (Hui – neng) หรือ ท่านเว่ยหลาง (.. 638 - 713) 

หลังจากนี้พุทธศาสนานิกายเซ็นได้แตกออกเป็น สาขาใหญ่ ได้แก่ เว่ยหยาง (Wen – Yang) หยุนเหมิน (Yun – Men) ฟาเหยน (Fa – Yen) เฉาต้ง (Ts’ao – Tung) และ หลินฉี (Lin – Chi)

 สาขาที่สำคัญและได้รับการสืบทอดมาจนทุกวันนี้ มีเพียง สาขา คือ เฉาต้ง และ หลินฉี พุทธศาสนาทั้ง สาขานี้เองที่ดินแดนญี่ปุ่นรับเข้ามาในสมัย คะมะกุระ (Kamakura .. 1185 - 1333) ท่านเอะอิไซ ( Eisai .. 1141 - 1215) เป็นผู้ก่อตั้ง โดยนำแนวคิดจากสายหลินฉี มาเผยแพร่ เรียกว่า นิกาย “รินไซเซ็น” (Rinzai Zen) 

สำนักนี้เน้นการรู้แจ้งอย่างฉับพลันโดยอาศัยปริศนาธรรม เพื่อให้เกิดความสงสัยอย่างต่อเนื่องในจิต จนกระทั่งถึงที่สุดก็จะบรรลุสู่ความรู้แจ้งอย่างฉับพลัน

 กล่าวคือ การปฏิบัติธรรมกับผลที่ได้จากการปฏิบัติธรรมเป็นคนละส่วนกัน โดยอาศัยปริศนาธรรมเป็นวิธีที่นำไปสู่การบรรลุธรรม 



ต่อมาท่านโดเก็น (.. 1200 - 1253) ได้นำแนวคิดจากสายเฉาต้ง มาเผยแพร่ เรียกว่า นิกาย โซโตเซ็น” (Sōtō Zen) สำนักนี้เน้นที่การปฏิบัติซาเซ็น (Zazen) หรือ การทำสมาธิเป็นสำคัญ 

ทั้งนี้เพื่อพัฒนาความสงบและมั่นคงแห่งจิตไปสู่การรู้แจ้ง คำสอนของสำนักโซโตเซ็นจะเน้นว่า การปฏิบัติธรรมกับผลที่ได้จากการปฏิบัติธรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยที่การปฏิบัติธรรมมิใช่วิธี สู่การบรรลุเป้าหมายบางอย่างภายนอก แต่ประสบการณ์ที่แท้ในการปฏิบัติธรรมนั้นเอง คือ การบรรลุธรรม

วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

จากส่วนหนึึ่งของ คู่มือมนุษย์ โดยท่านพุทธทาสภิกขุ

สิ่งที่รู้จักยากที่สุด 

สิ่งรู้จัก ยากที่สุด กว่าสิ่งใด
ไม่มีสิ่ง ไหนไหน ได้ยากเท่า
สิ่งนั้นคือ ตัวเอง หรือตัวเรา
คนที่เขลา หลงว่ากู- รู้จักดี 
ที่พระดื้อ เณรดื้อ และเด็กดื้อ
ไม่มีรื้อ มีสร่าง อย่างหมุนจี๋
เพราะความรู้ เรื่องตัวกู มันไม่มี
หรือมีอย่าง ไม่มี ที่ถูกตรง
อันตัวกู ของกู ที่รู้สึก
เป็นตัวลวง เหลือลึก ให้คนหลง
ส่วนตัวธรรม เป็นตัวจริง ที่ยิ่งยง
หมดความหลง รู้ตัวธรรม ล้ำเลิศตนฯ


ตัวกู-ตัวสู

อันความจริง "ตัวกู" มิได้มี
แต่พอเผลอ มันเป็นผี โผล่มาได้
พอหายเผลอ "ตัวกู" ก็หายไป
หมด"ตัวกู" เสียได้ เป็นเรื่องดี
สหายเอ๋ย จงถอน ซึ่ง"ตัวกู"
และถอนทั้ง "ตัวสู" อย่างเต็มที่
มีกันแต่ ปัญญา และปรานี
หน้าที่ใคร ทำให้ดี เท่านี้เอยฯ

ที่มา : คู่มือมนุษย์ โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

พุทธศาสนาอย่างเซ็น ไม่มีผู้หญิง



ตอนนี้ต้องบอกว่า เอานิทานของผู้โพสต์ไว้ในกระทู้พันทิพ คุณความรักครั้งสุดท้าย ได้เล่านิทานเซน เรื่องเกี่ยวกับสาวงาม ที่งามจนกลายเป็นทุกข์ และพ้นทุกข์ได้ในที่สุด

ความรู้สึกจะเป็นอย่างไรนั้น ผู้เขียนเองคงไม่สามารถทราบได้ ความงามที่ล้นเหลือจนเป็นทุกข์ นั้นทำให้คนๆหนึ่ง ไม่สามารถดำรงชีวิตได้เป็นปกติ แต่ถ้าถามผู้เขียนเองตรงๆ คงต้องบอกว่า งามน้อยไป สวยแบบพอเพียงแบบผู้เขียนหรือเจ้าของบล็อคนั้น น่าจะเ็ป็นทุกข์มากกว่า

ก่อนจะไปอ่านนิทานกัน ก็ต้องขอกล่าวอะไรบ้าง เพื่อเป็นการแสดงความคิดเห็นที่มีต่อ ความงาม ที่สาวๆสมัยนี้ คลั่งไคล้ จนทำให้ขาดความยั้งคิด แม้มีคนเตือนในสิ่งที่ควรทำเพื่อความปลอดภัยของชีวิต เธอกลับเลือกความงาม ยอมตายไ่ม่ยอมขี้เหร่



จริงอยู่ ความตาย เราเองก็ไม่ค่อยกลัวนะคะ แต่การทานยาลดความอ้วน ไม่ใช่ว่าตายแล้วก็จบไป พวกนี้กดการทำงานของระบบประสาท บางรายก็เป็นอัมพาต บางรายสมองเสื่อม นั่นทรมานและเลวร้ายยิ่งกว่าความตายมากนัก

จะเอาตัวอย่างที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ ในสังคมของสาวๆมาให้ดูนะคะ 

จากเว็บบอร์ดที่มีการขายเครื่องสำอางโดยตรง ไม่ยกมาอ้างอิงเพื่อความปลอดภัยของผู้โพสต์นะคะ แต่ว่าเป็นข้อความที่มีการพิมพ์โต้ตอบกันจริงๆ

มีคนเข้าไปเตือนแบบนี้ "การลดน้ำหนักที่ได้ผลที่สุดคือการออกกำลังกายและคสบคุมอาหารเท่านั้นค่ะ
ยาทุกตัวมีความเสี่ยง ขนาด Reductil ผ่าน อย. (FDA) ทั่วโลกแล้วก็จริง แต่หลังจากติดตามผลการศึกษากว่า 6 ปี สุดท้ายก็พบอันตรายที่มีมากกว่า จึงต้องถอนทะเบียนออกค่ะ"


และได้รับคำตอบมาแบบนี้่ค่ะ

เอาบทความมาให้ผู้ที่โพสต์เตือนเลิกกินยาอ่านนะคะ

นีเวียโพลเผยผลสำรวจ รับวันสตรีสากล พบชายไทยเลือก "สวยแต่โง่" มากกว่า "อ้วนแต่ฉลาด"
นาย ธนชัย ชัยกิตติวนิช ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด นีเวีย เปิดเผยว่า นีเวียโพลจัดสำรวจ "ทัศนคติต่อการให้คุณค่าความสวยงามของผู้หญิงไทย" เนื่องในวันที่ 8 มี.ค. เป็นวันสตรีสากล โดยสำรวจกลุ่มตัวอย่างจากผู้หญิงและผู้ชายจำนวน 1,200 คน พบว่าผู้ชาย 60% อายุตั้งแต่ 15-39 ปี จากทุกกลุ่มรายได้ ขอเลือกผู้หญิงสวยแต่โง่เป็นแฟน มากกว่าผู้หญิงอ้วนแต่ฉลาด ขณะที่ 62% เห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า "ผู้หญิงมักใช้ความสวยงามภายนอกเป็นใบผ่านทางไปสู่ความสำเร็จ"

นอก จากนี้ 91% เห็นว่าผู้หญิงไทยสวยขึ้นกว่าในอดีต เพราะการดูแลรูปร่างให้ดูดี
มีไม่ถึง 37% ที่เห็นว่าสวยขึ้นเพราะมีความรู้ ความสามารถ



นายธนชัย กล่าวว่า ผลสำรวจในส่วนของผู้หญิง พบว่า 60% มองว่าแค่สวยเพียงเปลือกนอก ก็เพียงพอสำหรับการ ใช้ชีวิตในสังคมยุคนี้ ยิ่งไปกว่านั้น 63% ยังเชื่อว่าแค่สวยเพียงเปลือกนอก ก็ทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ มีเพียง 19% ที่มองความสวยที่จิตใจ

นอกจากนี้ ผู้หญิง 22% ยืนยันว่า ถ้าไม่มีอุปสรรคเรื่องเงิน จะทำศัลยกรรมทันที 17% เห็นว่าการทำศัลยกรรมเป็นเรื่องสำคัญในชีวิต ที่ทำให้ตัวเองสวยและมั่นใจ ส่วนอวัยวะ 5 อันดับแรกที่อยากทำ คือ จมูก หน้าอก ดวงตา ใบหน้า และคาง

ทั้งนี้ นิยามความสวยที่ผู้หญิงคิดถึงมากเป็นอันดับ 1 คือ หน้าตาสวยหุ่นดี 57% มีเพียง 19% ที่บอกว่าความสวย ของผู้หญิงคือการมีจิตใจดี ส่วนเหตุผล 3 ข้อแรก ที่ผู้หญิงอยากมีรูปลักษณ์ภายนอกสวยงาม คือ 1.เพิ่มความเชื่อมั่นให้ตัวเอง 2.เป็นที่ดึงดูดใจของคนอื่น 3.เพิ่มโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงาน 61% เห็นว่าผลิตภัณฑ์ดูแลความงามมีความสำคัญ จนถึงสำคัญมาก ขนาดที่ถ้าขาดไปจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้



ด้วยเหตุนี้ ทำให้หญิงสาวพวกนั้น ตัดสินใจกินยาลดความอ้วนต่อไป แบบนี้เรียกว่าอะไรดีคะ แต่สำหรับเรา ต้องบอกว่า เหนื่อย ไม่ขอเตือน เราก็เคยกินยาลดความอ้วน แต่ไม่ใช่เพื่อความสวย เพื่อผู้ชายก็ไม่ใช่ แต่ถ้าถามเราตอนนี้ เราต้องบอกว่า เรากินเพราะเราโง่ 

สุดท้ายแล้วก็คงต้องบอกว่า  ชีวิตใครชีวิตมัน ไม่กลัวตายอยากให้ผู้ชายชอบ ก็โอเค แต่ถ้าสวยจนกลายเป็นอัมพาต ผู้ชายที่เคยชอบคุณเพราะสวย ขาว ผอม หน้าใส พวกนั้น จะยังชอบคุณต่อหรือไม่ สุดท้าย มีแต่พ่อแม่ที่เฝ้าเลี้ยง รัก และถนอมเรา แต่เรากลับไม่ถนอมตัวเองเลย เค้าต้องดูแลเราต่อ ไม่มีวันปล่อยให้ตายแน่ๆ คิดกันให้ดีนะคะ

สวย แค่ไหน ถามใจตัวเอง ว่าเราว่าเราสวยเราก็ต้องสวย ถ้าเรายึดมั่นกับค่านิยม และวิ่งตามแนวทางของสังคมเท่านั้น จึงจะสวย ก็คงต้องเหนื่อยและเสี่ยงต่อไปนะคะ



ไปอ่านนิทานเซนกันดีกว่าค่ะ ชีวิตใครชีวิตมันนะ แต่อย่าให้คนที่รักเรามากๆ ต้องมาเลี้ยงเรา เสียใจเพราะเราอยากให้ผู้ชายพอใจ ยอมเป็นคนโง่ ไม่ยอมขี้เหร่เลย

นิทานเซนโพสท์ในพันธุ์ทิพย์ กระทู้ที่ K2691667 
โดยคุณ : ความรักครั้งสุดท้าย - [ 29 ก.พ.2547 ]

นิทานเรื่อง พุทธศาสนาอย่างเซน ไม่มีผู้หญิง

มีสาวน้อย วัย 17 คนหนึ่ง เกิดในปี พ.ศ.2340 ในตระกูลของนักรบผู้ใหญ่ในแผ่นดินของพระเจ้าจักรพรรดิ์ จะเป็นด้วยว่าประเทศญี่ปุ่นขณะนั้นมีการประกวดนางงามกันหรืออย่างไรไม่ทราบ ประวัติไม่ได้กล่าวไว้ 
แต่เรื่องเริ่มเล่าว่า สาวน้อยโยเน็น ผู้นี้ ได้เป็นเทพีแห่งความงามอยู่ในสมัยนั้นแล้ว ตามคติของญี่ปุ่นนั้น เขาถือว่าชาติญี่ปุ่น เป็นมนุษย์เผ่าแรกในโลกและเหมาเอาเกาะนับพันของญี่ปุ่นนั้น ว่าเป็นโลกทั้งหมด จึงเรียกกษัตริย์ของตนว่าพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้ครองโลก ฉะนั้นถ้ามีการประกวดความงามของสตรี เขาก็คงเรียกยอดพธูของเขาว่า นางสาวโลก กระมัง

ใช่ว่าจะได้รับการเชิดชูยกย่องในความงามชั้นพิเศษแต่อย่างเดียวก็หาไม่ เนื่องจากเธอกำเนิดในตระกูลสูงนั่นเอง สาวงามโยเน็น ยังได้รับการศึกษาอักษรสมัย สามารถแสดงอัจฉริยภาพทางเขียนฉันท์และกาพย์ได้เป็นอย่างสูงเยี่ยมอีกด้วย 
จนถึงพระราชินีแห่งพระเจ้าจักรพรรดิโปรดปราน รับสั่งเรียกตัวเข้าถวายงาน รับตำแหน่งนางสนองพระโอษฐ์อันสูงศักดิ์ในพระราชวัง ได้รับความรักความเอ็นดูเหลือล้น พ่อแม่ญาติพี่น้องทั้งตระกูลจึงมีหน้ามีตาเพิ่มเป็นทวีคูณทีเดียว
แต่แล้ว...เรื่องของมนุษย์ต้องต้องเป็นอย่างนั้นเอง 
กล่าวคือ เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดฝันไว้ก่อนก็บังเกิดขึ้น และบังเกิดแล้ว นั่นคือต่อจากนั้นไม่สู้นาน พระจักรพรรดินีองค์ผู้โปรดปรานเธอเป็นที่ยิ่งนั้น ได้สิ้นพระชนม์ลงอย่างกะทันหัน สาวน้อยได้รับใช้ใกล้ชิดตลอดเวลาจนสิ้นลมปราณ พร้อมกันนั้นอนาคตอันเจิดจ้าแจ่มจรัสในชีวิตชาววังของเธอก็ดับวูบลง

      เจ้าหล่อนแม้จะล่วงกาลผ่านวัยมาไม่กี่ปี ก็พลันพบเข้ากับเหตุการณ์หนักๆ ให้รสชาติแก่ชีวิตน้อยๆ ของเธอ ได้อย่างวูบวาบรวดเร็ว เธอได้พบฉากชีวิตจริง ที่มีอะไรขอดเป็นปัญหาจนทนไม่ได้ ที่จะไม่หาทางไขสู่ความกระจ่าง 
เธอฉงนใจยิ่งนัก ว่า โลกนี้ มันอะไรกันเอ๋...นี่มันอะไรกัน!
คนเรานั้น ตามธรรมดา ไม่ว่าหญิงหรือชาย จะอายุเท่าไรไม่สำคัญ พอเกิดความรู้สึกเป็นปัญหา ขึ้นถึงขีดหนึ่งที่วิถีชีวิตชักนำให้มาพานพบ ทุกคนย่อมทนไม่ได้ ที่จะไม่วิ่งเข้าหาเครื่องขจัดความคลุมเครือกล่าวคือทางธรรม
 สาวน้อยโยเน็นของเราก็เป็นเช่นนั้น หล่อนเริ่มสนใจ อยากจะทราบว่าพุทธศาสนามีว่าไว้อย่างไรในเรื่องนี้ ประกอบกับเธอเป็นนักวรรณคดี ได้อ่านได้รู้อะไรได้อย่างลึกซึ้ง ตามความอ่อนไหวของวิญญาณนักกวีเธอจึงเป็นเอามาก ถึงกับจะออกบวชเพื่อศึกษาพระธรรมอย่างใกล้ชิด

ทางญาติพี่น้องจึงเอะอะขึ้น ไม่ยอม หัวเด็ดตีนขาดเป็นไม่ยอม ก็ใครเล่าจะเข้าไปรู้ถึงส่วนลึกในใจเธอ เรื่องจึงเกิดอลเวงกันใหญ่โต ทางฝ่ายสาวน้อยก็พยายามให้เหตุผลทุกอย่างทุกทางเพื่อจะได้บูชาความอยากรู้ในเรื่องใหญ่หลวงนี้ ทางญาติผู้ใหญ่ก็จะยอมให้ไปบวชไม่ได้แน่ๆ ต่างฝ่ายต่างดึงกันตึงเครียด เพราะมองกันไปคนละทาง ไม่มีฝ่ายใดลดหย่อนให้กันแม้แต่น้อย ทางสาวโยเน็นใช้ไม้ตายถึงกับจะหนี สบช่องเมื่อไรเป็นหนี

ทางบ้านจึงรีบหาได้ผู้ชายสูงศักดิ์ เพื่อจัดเตรียมให้มีการแต่งงานให้รู้แล้วรู้รอดไปเสีย ฝ่ายหญิงสาวเธอก็ยิ่งไม่ยอมใหญ่ เหตุการณ์เลยยุ่งขิงยากเย็นเป็นทับทวีคาราคาซังกันอยู่นาน ผลสุดท้ายจึงมีข้อต่อรองหย่อนเข้าหากัน
 มีสัญญากันว่า สาวงามโยเน็นจะยอมแต่งงาน แต่หากให้กำเนิดบุตรคนแรก ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เธอจะขอออกบวช 
ทางพ่อแม่ก็ยังยอมไม่ได้อีก ยกเอาประเพณีของญี่ปุ่นที่เฉียบขาดเคร่งครัดมาลบล้าง ว่าหญิงต้องมีบุตร 3 คน จึงจะชื่อว่าเกิดมาเป็นลูกผู้หญิงที่สมบูรณ์ เธอจึงจำนนต่อระเบียบประเพณี จำใจเข้าพิธีแต่งงาน เพื่อแลกเอาสัญญาว่าจะยอมให้ออกบวช

ก่อนที่อายุเธอจะครบ 25 ปี เธอก็หลุดจากข้อผูกพันออกบวชได้ตามสัญญา สามีและพ่อแม่ พี่ ป้า น้า อาจะฉุดเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป เมื่อได้รับอิสระแล้ว ก็โกนหัวบำเพ็ญชีวิตเป็นอนาคาริก ออกเที่ยวศึกษาปฏิบัติไปตามวัดตามวา ทิ้งถิ่นบ้านเดิม ไกลห่างญาติพี่น้องออกไปๆ
แม่ชีสาวโยเน็น ได้เที่ยวแสวงหาโมกขธรรมไปหลายแห่งต่อหลายแห่ง ทุกๆ แห่ง เธอพบว่าสำนักต่างๆ นั้น ทำไมถึงขอเข้ารับการศึกษาไม่ง่ายเหมือนที่คิดไว้ สำนักแล้ว สำนักเล่าที่เธอขอเข้าเป็นศิษย์เพื่อศึกษาปฏิบัติ มักเมินเฉย ไม่ใส่ใจใยดี จะยอมให้อยู่ก็ไม่ว่า จะไม่ให้อยู่ ก็ไม่ว่า แต่เธอสังเกตว่ามีการแสดง ไม่ยินดีต้อนรับอยู่ในที เรื่องนี้นับว่าเธอได้มาพบเข้ากับปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่ ในชีวิตทางศาสนาของเธออีก

ทีแรกแม่ชีผู้น่าสงสาร ก็ยังค้นหาสาเหตุไม่ได้ ว่าเป็นเพราะเหตุใด จนกระทั่งเธอรอนแรมล่วงเข้าเขตมณฑลอีโดไปขอเข้าพักรับการศึกษากับอาจารย์องค์หนึ่ง จึงได้ทราบสาเหตุแท้จริง เพราะไปเจออาจารย์พูดขวานผ่าซาก ชื่ออาจารย์เทตสุยุ อาจารย์องค์นี้ เพียงเหลือบเห็นเธอคลานเข้ามาแสดงความจำนงเท่านั้น ก็ตอบปฏิเสธโพล่งไปทันทีว่า สำนักนี้รับเธอไว้ไม่ได้ เพราะเธอยังสาวนัก และสวยนัก จะไม่เป็นผลดีอะไรแก่คนอื่นส่วนใหญ่ในสำนักนี้
แม่ชีสาวของเรา จึงเกิดมาพบความจริงอีกด้านหนึ่งของความสวยงาม ทำให้เธอเกือบจะทดท้อ ว่าโลกนี้ มันมีอะไรที่ยังเร้นอยู่ ไม่ประจักษ์ต่อสายตาคนทั้งหลายอีกมากนัก โลกนี้ชีวิตนี้ ยังมีเงื่อนอะไรหลายอย่าง แปลกๆ ใหม่ๆ ดูเอาเถิดโทษของความสวย-ความงาม ก็มีด้วย! มันช่างมีอะไรชวนติดตามให้รู้เที่ยงแท้อีกมาก
 เธอจึงซมซานต่อไป และต่อไป จนลุถึงสำนักเซ็นวัดหนึ่ง วัดนี้เป็นสำนักใหญ่ ลูกศิษย์ลูกหามากทั้งฝ่ายภิกษุ และนางชี หลวงพ่อเจ้าอาวาสเป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายเซ็น ชื่อ ฮากุโอะ

พอย่างเหยียบเข้าไปในวัด แม่ชีโยเน็นก็ไม่แน่ใจเสียก่อนแล้ว กลัวจะเป็นเหมือนสำนักต่างๆ ที่แล้วมา เธอจึงเลี่ยงไปขอพักทางฝ่ายแม่ชีสักหนึ่งคืนก่อน พรุ่งนี้ค่อยเข้ากราบหลวงพ่อเจ้าอาวาส ในใจก็นึกว่ามีหวังน้อยเต็มที 
ปรากฏว่าตลอดคืนนั้น เธอคิดอย่างหนักด้วยความระทม ผสมกับความระทึกใจ คิดถึงกาลพรุ่งนี้จะเข้าไปขออยู่พึ่งพิง คิดถึงการออกบวชของเธอ อันแสนจะโยกโย้ยากเย็นที่แล้วมาแต่หลังเห็นจะมาคว้าน้ำเหลว เพียงมาติดขัดแค่ใบหน้าเท่านี้เองละหรือ
เสร็จแล้ว เธอก็นึกออก เธอได้ใช้เหล็กเผาไฟจนแดงนาบไปตามใบหน้าเพื่อให้เป็นแผลเป็นลบความงามเสียสิ้น เธอจึงได้กลายเป็นผู้อัปลักษณ์ไปในฉับพลัน สมใจตัว แล้วก็โล่งใจ ที่ขจัดอุปสรรคชิ้นที่ตนหวงแหนนั้นเสียได้ คืนนั้นแปลว่ามีความชื่นชมสุขใจไปตลอดคืน

ขณะนั้นความบันดาลใจ เกิดเร้าอารมณ์กวีของเธอให้เขียนออกจากใจ มาเป็นกาพย์ได้อย่างไพเราะ (ไพเราะในภาษาญี่ปุ่น) แปลได้เป็นว่า
ครั้งเราสนองพระโอษฐ์ ในพระบรมจักรพรรดินี ณ วังหลวงอยู่นั้นเรามีแต่เผากำยานและของหอม อบร่ำพัสตราภรณ์เพื่อให้สวมใส่ผ่องผิว รมย์รื่นชื่นนาสาครั้นมาบัดนี้เล่า ตกอยู่ในที่ยากไร้ ทั้งทรัพย์สิน ญาติพี่น้อง และบ้านเรือนที่พักพิงเราได้เผาเหมือนกัน แต่เผาผิวหน้าของตนเองเพื่อขอเข้าศึกษาในสำนักเซ็น
พอรุ่งขึ้นวันใหม่ ถึงเวลาเธอเข้าไปกราบเท้าหลวงพ่อ อาจารย์ฮากุโอะ ขอเข้าเป็นศิษย์ในสำนัก เธอก็แทบไม่เชื่อหูของตนเองอีกครั้งหนึ่ง 
เธอพบว่าได้คิดผิดอย่างใหญ่หลวง ผิดครั้งนี้ไม่ใช่หลวงพ่อไม่อนุญาตให้อยู่ แต่...กล่าวคือ ได้มีการสอบถามเมื่อหลวงพ่อเห็นใบหน้าถูกไฟลวกพุพองไปหมดดังนั้นถามไถ่ก็ได้ทราบต้นเหตุถึงกับมีการเผาหน้าตาให้เสียโฉมไปตลอดชาติ เพราะไปโทษว่าเป็นด้วยเพศแห่งความสวยงาม หลวงพ่ออาจารย์กล่าวว่าทำอย่างนั้นยังไม่ถูก

เซ็นแท้จริงนั้น ไม่มีความเป็นผู้หญิงผู้ชาย ความเป็นหญิงเป็นชายนั้น มีทีหลังจากการปฏิสนธิในครรภ์มารดา แต่จิตแท้ๆ นั้น มันก่อนการมาได้ชาติความเกิดนั่นเสียอีก ความที่คิดไปว่าตนเป็นเพศนั้น เพศนี้นั้นยังเป็นมายา สัตว์ทั้งหลายถูกกักขังอยู่ด้วยเรื่องนี้
ทันทีที่แม่ชีโยเน็นรับฟังอยู่แล้ว ก็โพลงกระจ่างขึ้นโดยนัยเป็นอันมาก บัดนี้เธอมิได้ชื่นชอบในความงาม ทั้งไม่ชอบชื่นในความที่ไม่มีความงาม เธออยู่เหนือความที่ต้องเป็นคนมีเพศหญิงเพศชาย ซึ่งเคยทำให้เธอทุกข์ทรมานมาตลอดอายุขัย ไม่น้อยกว่า 30 ปี บัดนี้เธอได้เป็นส่วนหนึ่งในสำนักเซ็น อันมีหลวงพ่อฮากุโอะประจำสั่งสอนศิษย์อยู่

หลวงพ่อฮากุโอะเป็นอาจารย์ที่ดุ ปฏิบัติต่อศิษย์ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายเหมือนอย่างเดียวกันหมดในเวลาปฏิบัติซาเซ็น (คือนั่งกัมมัฏฐานเป็นแถว หันหลังเข้าฝา) ในศาลาโรงธรรม ท่านจะใช้วิธีใส่รองเท้าหญ้า ค่อยๆ เดินตรวจตราไปมา ไม่ว่าใคร ถ้าท่านเห็นว่าควรปลุกธรรมชาติแท้ภายใน ย่อมหวดด้วยไม้เขี่ยถ่านอย่างไม่ปรานีปราสัย ไม่มีการตึงเครียดกับคนเพศนั้น แล้วมาพะนอเอาอกเอาใจคนเพศนี้ 
ความเป็นเช่นนี้ แทนที่จะทำให้หาศิษย์อยู่ด้วยยาก กลับเป็นที่ชมชอบบูชา ใครๆ ก็นิยมกันมารับการฝึกจากท่านอาจารย์ ข้อนี้ก็เป็นที่ถูกอัธยาศัยภาวนาของแม่ชีโยเน็นเป็นที่ยิ่ง แม่ชีโยเน็นอยู่กับสำนักอาจารย์เป็นเวลา 13 ปี ได้รับยกย่องให้เป็นผู้ช่วยเหลือนักปฏิบัติคนอื่นๆ

หลังจากนั้นมา ในชีวิตบั้นปลาย แม่ชีโยเน็นได้ไปหลีกเร้นพักอยู่ตามภูเขา แขวงจังหวัดบันชู มีผู้สนใจไปขออาศัยอยู่ด้วย เธอจำต้องเป็นผู้นำแม่ชีด้วยกันจำนวน 200 คน ปกครองให้ความอบอุ่นทั่วถึง 
จนกระทั่งได้ดับขันธ์ เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.2406 อดีตนางสาวโลกของเรา ได้เป็นแม่ชีแก่ๆ ที่เต็มอยู่ด้วยศานติสุขตลอดกาล ด้วยวิญญาณที่เคยเป็นกวีใกล้จะสิ้นลม เธอก็ยังได้เขียนคำร้อยกรองอันเพราะพริ้ง ทิ้งไว้เป็นโกอานให้คนทั้งหลาย อันเป็นคำประพันธ์ทั้งลึกและไพเราะ เป็นที่ยกย่องของพวกเซ็นมาจนกระทั่งบัดนี้ ถ้อยคำนั้นมีใจความเป็นไทย ซึ่งฟังอาจจะไม่ลึกและไพเราะ ว่าดังนี้ :
ฉากความเลื่อนไหล แห่งฤดูใบไม้ร่วง ปีแล้วปีเล่าเวียนมาประจักษ์ต่อตา ถึง 66 ครั้งแล้ว ตูก็ได้เพรียกพร่ำ ถึงปภัสสรของแสงแห่งเดือนเพ็ญมามากพอแล้วพวกเธอ อย่ามาซักมาถามอีกเลยเพียงให้เธอไปเฝ้า เงี่ยฟังให้ได้ยินเสียงใบไผ่ ใบสีดา เมื่อยามลมไม่มีพัด ดูที
นิทานก็จบ

ส่วนข้อคิดเห็นจากนิทาน ก็มาจากคุุณความรักครั้งสุดท้ายเหมือนกันนะคะ
จากเรื่องราวที่เล่ามานี้ เราท่านจะเห็นได้ว่า โลกเรานี้ไม่มีอะไรที่ชายทำได้ แล้วจะห้ามไม่ให้ผู้หญิงพยายามให้ได้เหมือนเช่นนั้นบ้าง ยิ่งเรื่องที่มาเกี่ยวกับทุกๆ คน ตรงกันหมด เช่น ความทุกข์ในชีวิตนี้แล้ว ความเป็นหญิงเป็นชายยิ่งมิได้เป็นเหตุทำให้เกิดความแตกต่างเหลื่อมล้ำกันเลย 
ขอแต่ว่าแต่ละคนควรจะรู้จักตัวของตัวเองให้ดี ว่าแค่ไหน เท่าไหร่สำหรับตน จะไปเอาอย่าง ทำตามๆ กัน ด้วยลำพังแรงศรัทธาในศาสนานั้นไม่ได้ อาจไม่ถูก ไม่เหมาะ ไม่สม ก็เป็นได้
พูดอีกทีก็คือ จะไปเอาอย่างสาวงามโยเน็นในเรื่องนี้ทุกคนไม่ได้หรอก ขอให้วิเคราะห์ดูเถิด เธอไม่ได้สร้างเรื่องขึ้นเองแล้วคิดหาเหตุผลเข้ากับตัวเอง หรือเธอไม่ใช่ต้องการจะประชดตัวเองหรือใคร แล้วหนีออกบวช

โลกธรรมและเหตุการณ์ในชีวิตของเธอ ที่ล้อมเธออยู่นั้นต่างหาก ที่ต้อนเธอ และทำกับเธอซึ่งอยู่ในวัยที่ยังอ่อนยังเยาว์เหลือเกิน อายุไม่เท่าไหร่ก็ได้พบได้ผ่านเสียทุกอย่าง นับแต่ได้สูงแทบจะเหินร่าบนชั้นฟ้า แล้วกลับตกวูบวาบมาอยู่ในฐานะยาจกอัปลักษณ์ซ้ำในระหว่างนั้นก็มีละลอกกระแทกกระทั้น ถี่เหมือนคลื่นซัดไม่ลดละ 
ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความผิดของเธอ หรือเป็นความจงใจของใครเลย แต่...เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ไม่มีอะไรที่สำคัญเกินไปกว่าที่เธอมีข้อได้เปรียบ ได้เปรียบตรงที่เธอเป็นคนคิดเป็น ทุนข้อนี้แหละถ้าไม่มีอยู่แล้ว ต่อให้ลีลาชีวิตผันผวนอย่างไร เธอก็คงจะเหมือนผู้หญิงอื่นส่วนมาก คือคิดหนักเหมือนกัน แต่คิดพันตัว เลยพ่ายแพ้!

ดูเอาเถิดท่านทั้งหลาย หากเป็นคนอื่น ที่ไม่ประสาต่อโลกทั้งยังเป็นคนด้อยทางวุฒิความคิด เขาจะกระเสือกกระสนเหมือนปลาหมอตะเกียกตะกายจนเกล็ดแห้ง เช่นแม่ชีโยเน็นนี้ละหรือ ต่อให้มีชีวิตคนละ 10 ก็ยังไม่พอ ที่เขาจะคิดฆ่าตัวตายไปจนหมดทั้ง 10 โลกเรานี้ มันมีคนอยู่ประเภทหนึ่งจริงๆ ที่กระทบเรื่องร้ายก็พ่ายต่อชีวิต ลี้หน้าจากความยุ่งยาก ด้วยการฆ่าตัวตาย 
หารู้ไม่ว่า นั่นในทางธรรมะ เขาถือว่าเป็นฉากชีวิตที่มันเรียงหน้ากันเข้ามาลวงเอาคนเรา แต่ละคนๆ นั้นต่างหาก มันขึ้นอยู่ที่เราคนเดียวเท่านั้น ที่จะได้ใช้ฉากชีวิตที่มีเหตุการณ์เปลี่ยนไปๆ นั้นให้เกิดเป็นประโยชน์เพื่อคุณเบื้องสูง ยิ่งๆ ขึ้นไป


ฉะนั้น หากใครไม่สนใจธรรมะก็จนใจ! สุดที่จะช่วยได้! มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแก่ชีวิต แทนที่มันจะมาผลักดุนให้เลื่อนชั้นตัวเอง คนพวกนี้กลับจะดัน ไม่เห็นหนทาง ถ้าจะให้คิดก็ต้องคิดผิด
พระพุทธเจ้า จัดคนประเภทแม่ชีโยเน็นนี้ ว่าเป็นชาติม้าอาชาไนย กล่าวคือเพียงชำเลืองเห็นแค่เงาที่เขาเงื้อแส้ขึ้นเท่านั้น ก็รู้ว่าควรทำอย่างไรแค่ไหนเสียแล้ว 
ฉะนั้นพอเธอชนเข้ากับปัญหาเงื่อนแรกโดยบังเอิญ เธอก็มีเรื่องที่จะปรารภเพื่อเริ่มขุดคุ้ยสาวสืบไปยังต้นตอของจริง เหมือนบุคคลเลิกเสื่อขึ้น เพื่อค้นหาอะไรอย่างตื่นใจ แปลกตาต่อโลกทั้งมวลที่ตนเผชิญอยู่ เธอออกบวชเป็นแม่ชี 
จึงไม่ใช่มีสาเหตุของอาการโรคจิต ความสำนึกส่วนลึกก็ไม่มีอะไรสับสนลวงตัวเองอยู่เลยตรงกันข้ามเมื่อคว้าได้เงื่อนอันแรกแล้ว เลยทำให้เหตุการณ์ที่คับขัน หรือข้อผิดพลาด ฉากต่อๆ มา กลายมาเป็น แบบเรียนเร็ว ให้แก่เธอไปจนหมดสิ้น นับว่าชีวิตเธอ เป็นชีวิตที่ควรยกขึ้นเป็นตัวอย่างของกุลสตรี ที่มีหลักเกณฑ์บูชาความคิด


ขอให้แน่ใจสักข้อหนึ่งว่า พระอริยเจ้าในพุทธศาสนาของเรานี้ มิใช่เป็นบุคคลที่อ่อนความคิด หรือไม่ต้องรู้จักอะไรที่เป็นกฎเกณฑ์เหตุผลของธรรมดาโลก เอากันว่าท่านแม้ไม่เปรื่องปราชญ์อย่างปัญญาโลก แต่ก็ต้องไม่ถึงกับเป็นคนตายด้านต่อโลก ไม่นิยมความรอบรู้ทันบ้านทันเมืองเขา จนกระทั่งเดินไปตามถนนก็เถล่อถล่าให้รถชนโดยที่นึกว่า ไม่ยึดมั่นถือมั่น อย่างนี้ก็หาไม่
ท่านยังต้องเป็นผู้รู้แจ้งโลกอยู่ตามขั้นตามภูมิ ตามที่ตนได้กระทำผ่านแบบฝึกหัดมาแล้ว อย่างจะเห็นได้ในกรณีของแม่ชีโยเน็นนี้ แม้จะมีวิถีชีวิตสุดสายได้ฉับพลัน ในเวลาเพียงอายุไม่เท่าไหร่ แต่เธอต้องไต่จากเหตุการณ์ในชีวิตมามากและครบถ้วน ยิ่งกว่านั้นก็ยังต้องอาศัยอาจารย์ต่ออีกถึง 13 ปี

ฉะนั้นในสมัยนี้ หากจะมีใครหวังจะเร่งด่วน ลัดตรงในทางปฏิบัติธรรมอย่างไร โดยขอข้ามไม่ต้องรู้โลกมาเป็นลำดับ ย่อมเป็นไปไม่ได้ เรื่องที่จะมาอ้างว่าได้เข้าปฏิบัติหลับตาเท่านั้นเท่านี้วันแล้ว ก็เสร็จกิจอย่างนี้จะไม่มีในพุทธศาสนา 
เพราะเรื่องชีวิตจริงนี้ ไม่ใช่เที่ยวทำอะไรให้ครบๆ ในเวลาเท่านั้นเท่านี้ ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว แต่ต้องเพียรทำไปเป็นหลักสูตรระยะยาว ไม่ต้องไปจำกัดว่า 10 ปี 20 ปี 30 ปี เพราะทุกระยะ จนกว่าจะตายสิ้นสุดร่างอันนี้ก็ให้เป็นไปเพื่อความอยู่เป็นผาสุกด้วย เพื่อความรู้รอบเป็นส่วนตัวด้วยแล้วก็เท่านั้นเอง
 โลกนี้ สาธุชนทุกคนต้องอยู่ด้วยปัญญา และต้องทำกับมันอย่างใจเย็น ทุกสิ่งกว่าจะสิ้นจะสุดกันได้ต้องกินเวลา ต้องอาศัยกาลอายุสำหรับสังเกตสังกาศึกษา ถ้าเป็นไปตามหลักตายตัวเช่นนี้แล้ว พวกเราก็ไม่ควรจะมีคนอยากเป็นอาจารย์ทั้งที่ตนก็ยังอ่อนต่อโลก ยังถูกลวงด้วยความคิดของตน จนประมาณตัวผิด ด้วยประการฉะนี้
จากหนังสือ เล่านิทานเซ็นเล่าเรื่องโดย อ.อภิปัญโญ เผยแพร่โดย ธรรมสภา

โดยคุณ : ความรักครั้งสุดท้าย - [ 29 ก.พ. 47]