User-agent: * Allow: / นิทานเซน Zentale

วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ในเพลงเย้ยยุทธจักร จัดว่าเป็นเซน Zen รึว่า เซ็น รึเปล่า ฟังเพลงกันบ้างดีกว่านะคะ



แปลได้ว่า


ทะเลสรวล สาดเซาะ ชายฝั่ง

ฝูงคลื่น สาดซัดฝั่ง เราเห็น

สวรรค์หัวเราะ เยาะเย้ย พสุธาคลั่ง

"พวกเขา"เท่านั้น ที่กำหนด ผู้ชนะหรือแพ้


ภูผาสำรวล เริงร่า พายุยัง ห่างไกล

คลื่นเมื่อถึงฝั่ง โลกก็ยัง คงอยู่

สายลม แอบหัวเราะ ความเงียบ(เหงา) สิ้นสูญพลัน

แม้กาลผ่าน ล่วงเลยไป สายสัมพันธ์ ยังแฝงด้วย คับแค้น

แอบหัวเราะให้กับ กาล(เวลา)ที่ผ่านไป เดียวดายอยู่ กลางมหานที(แห่งความเหงา)

สุดท้าย....ฉันเหลือ แต่ความอำมหิต ทดแทน สำนึกรู้ถูกผิด.... 
...................................................................................................

The seas laugh, lashing on both coasts.
ทะเลบ้าคลั่ง ถาโถมเข้าสู่ฝั่ง

Carried in the waves, we have only now.
เพียงเราในปัจจุบัน ลอยคออยู่บนคลื่น

The heavens laugh, at the troubled world.
สวรรค์หัวเราะ กับโลกที่ป่าเถื่อน

Only they know, who is to win or lose.
มีแต่พวกมันรู้ ใครจะอยู่จะไป

The mountains laugh, the rain is afar.
ภูผาหัวเราะ ท้าทายห่าฝน

When the waves grow old, the world still goes on.
เมื่อคลื่นสงบลง โลกยังคงอยู่

Sniggering at the wind, lost in quiet solitude.
เสียงหัวเราะของลม ทำลายความเงียบงัน

Bygone camaraderie bequeaths a tinge of melancholy.
มิตรภาพที่ผ่านพ้น แต่งแต้มความเศร้าโศก

Sniggering at my wasted life, afloat in the sea of loneliness.
เสียงหัวเราะเพรียกเรียกชีวิตฉัน ยังคงล่องลอยในโลกวิญญาณ

I only have my cynicism to redeem my sanity.
มีแต่โลกที่โหดร้าย คอยฉุดรั้งวิญญาณไว้
................................................................................

...ขุนเขายะเยือกหวังเพียงผู้เดินทางผ่าน
ไป ให้ไกลสุดไกล
เพียงคนเดินผ่าน นั้นไปไม่มีวันสิ้น
กองเกวียนยังเคลื่อนไหล
ชีวิตมีวันสิ้น...คนไม่มีวันพอ







วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ใจไม่สงบ

นิทานเซ็น : ใจไม่สงบ

ภิกษุรูปหนึ่งซึ่งมาขอรับคำสอน กล่าวแก่ท่านโพธิธรรมว่า
“ ใจของผมไม่สงบ ได้โปรดช่วยทำให้ใจของผมสงบลงด้วย 
“ ไหนลองเอาใจของเธอมาให้ฉันดูซิ ” ท่านโพธิธรรมตอบ “ แล้วฉันจะทำให้มันสงบ
“ แต่เมื่อผมหาใจของผม ” ภิกษุรูปนั้นกล่าว “ ผมก็หามันไม่พบ 
“ นั่นไง ” ท่านโพธิธรรมสวนมาทันควัน “ ฉันได้ทำให้ใจของเธอสงบแล้ว 

สำหรับนิทานเซ็น Zen  หรือ เซน เรื่องนี้นั้น สั้นมากๆ  เนื้อเรื่องก็สั้น ความเข้าใจก็สั้น ผู้ที่อ่านแล้ว น่าจะทำความเข้าใจได้เลยทันที
อย่างเช่นผู้เขียนนั้น เข้าใจเลย ไม่ได้ว่าเก่งกาจอะไร แต่นั่นเป็นเพราะว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับชีวิต
มีบางอย่างที่ผู้เขียนบล็อคไม่ชอบมากๆ และของสิ่งนี้ ผู้เขียนบล็อค จะได้เจอ มองเห็น สัมผัส รวมถึงได้ยินตลอดเวลา 
วันหนึ่ง ขณะที่กำลังไปเดินที่ห้างสรรพสินค้า ซึ่งเป็นกิจกรรมของผู้ที่ไม่มีรายได้ ที่พึงหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด ควรจะต้องหลีกออกไปให้ไกลนั้น ผู้เขียนกำลังเลือกของ เปรียบเทียบราคาด้วยความสบายอารมณ์ มีความสุขมากที่สุด เรียกว่าเดินได้เพลิน ซื้อหรือไม่ก็ว่ากันอีกที เลือกไปเรื่อยๆ อันนี้น่ากิน อันนี้ถูก อันนี้แพงแฮะ เงียบๆ เรื่อยๆ


สักพักหนึ่ง ผู้ที่ไปเดินในห้างสรรพสินค้าแห่้งนั้น เดินเข้ามาหาผู้เขียน แล้วร้องทักว่า นี่ๆ ได้ยินปะ เค้าว่าป่านนี้ ...ผู้เขียน ต้องปวดหัว และหนวกหูมากๆ 
ในนาทีนั้น เสียงที่ไม่อยากได้ยิน เข้ามาในหูทันที มันดังกึกก้อง และทรมานมากๆ ผู้เขียนถึงถามผู้ที่มาด้วยว่า นี่เค้าเปิดมานานแค่ไหนแล้ว ผู้นั้นตอบว่า โอย..เปิดมาตั้งแต่เราเข้ามาหละ นี่เราก็เดินๆไป เป็นห่วงเอ็ง เลยเข้ามาถามเนี่ย
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ผู้เขียน ไม่เคยได้ยินเสียงนั้นมาก่อนเลย จะกระทั่ง เพื่อนที่มาด้วย ได้เข้ามาทัก ผู้เขียนจึงเกิดอาการ ได้ยิน และเมื่อได้ยินแล้ว ผู้เขียนก็ไม่สามารถทนอยู่ในพื้นที่นั้นได้อีกต่อไป และไม่ว่าทำอย่างไร ก็ไม่สามารถขจัดเสียงที่ดังกึีกก้องในหูนั้นออกไปได้เลย
ถ้าผู้เขียนเป็นเซน เซ็น หรือว่า Zen ที่แท้จริง ก็คงจะตัดใจได้ เสียงที่ก่อให้เกิดความไม่สบายใจก็คงจะถูกตัดออกไปได้ในไม่ช้า

แต่นี่ ผู้เขียน ยังไม่สามารถทำได้ สิ่งที่ทำได้มีเพียง การหลบหนีออกจากตรงนั้น

ฟังดูแล้ว ไม่น่าจะเป็นวิธีที่ดีในการแก้ปัญหา แต่ถ้าปัญหาบางอย่างมันยากเกินจะแก้ไข สิ่งที่เราทำได้ เพื่อตัวเราเอง เพื่อการอยู่รอดของตัวเรา อาจจะเป็นเพียง การไม่มองมัน หรือลดขอบเขตเพื่อที่จะกำหนดว่ามันคือปัญหา ให้กลายเป็น มันไม่ใช่ปัญหาทดแทนกันไป


สิ่งใดไม่ถูกใจ และไม่ใช่เรื่องที่แก้ไขได หรืออาจเป็นความผิดปกติของเราเองที่มองว่าสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง ไม่ปกติ สิง่ที่เราทำได้ เพื่อแก้ไขปัญหานั้น อาจจะเป็นการหยุดมอง หยุดคิด หยุดรับฟัง แล้วปัญหาต่างๆเหล่านั้น อาจจะดีขึ้นมาได้เองในที่สุด

ไม่ใช่วิ่งหนี แต่เลิกพิจารณา เพื่อหาจุดที่สมดุล ให้เราอยู่ได้ ในสังคมนั้นๆ

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ไม่มีน้ำในพระจันทร์

ไม่มีน้ำไม่มีพระจันทร์
โพสท์ในเวบพันทิป ห้องศาสนา โดยคุณ : ZKEI - [ 20 พ.ค. 48]
แม่ชีจิโยโน ศึกษาเซ็นจากท่านบักโก แห่งสำนักเองคากุเป็นเวลานาน
แต่ไม่สามารถบรรลุผลแห่งสมาธิภาวนาเลย


ในที่สุด ณ คืนวันเพ็ญคืนหนึ่ง ขณะเธอกำลังหาบถังน้ำเก่า
ที่ดามด้วยซี่ไม้ไผ่ ไม้ดามหัก ก้นถังทะลุหลุดจากตัวถัง
ทันใดนั้น เธอก็เป็นอิสระ (จากกิเลส)


เธอเขียนกลอนไว้เป็นที่ระลึกบทหนึ่งว่า
ฉันพยายามทุกวิถีทาง ที่จะรักษาถังน้ำเก่าๆ ใบหนึ่ง
เพราะไม้ท่อนนี้เปราะ ใกล้หักเต็มที
ในที่สุด ก้นถังก็ทะลุ
ไม่มีน้ำในถังอีกแล้ว
ไม่มีพระจันทร์ในน้ำอีกแล้ว



วันนี้เอานิทานมาขึ้นก่อน ก่อนจะเล่าเรื่องราว เพื่อเทียบและอ้างอิงไปกับนิทาน ตามความเข้าใจแบบส่วนตัวที่สุด อาจไม่มีหลักการใดๆ มีแต่การทำไปเพราะว่าอยากทำ และคิดว่าคนแบบเรานี้ อาจจะประสบความสำเร็จ(ร่ำรวย)ได้ยาก แต่ถ้าถามตอนนี้ละก็สบายใจเป็นที่สุด 

ความสำเร็จที่ทุกคนอยากจะประสบคืออะไรกัน อยากให้ทุกคนลองถามตัวเองดูกันบ้าง ถามใจตัวเอง มองใจตัวเอง มองเข้าไปทำความเข้าใจกับตัวตนที่เป็นอยู่ของตนเองแล้วจะได้รู้ใจตัวเองว่า ความสำเร็จที่ต้องการคืออะไร อย่ามองออกแต่ข้างนอก มันจะยิ่งทำให้เกิดทุกข์ อยู่กับตัวเอง เข้าใจตัวเอง และรักตัวเอง เมื่อความรักที่มีต่อตัวเองมีมากพอ มันจะเผื่อแผ่ไปต่อคนที่อยู่รอบๆเราในสังคมเอง

ในฐานะที่เขียนบล็อคนี้ขึ้นมาเอง ก็จะบอกกับตัวเองเอาไว้ว่า เราเคยตั้งเป้าหมายในชีวิตเอาไว้สูงส่ง สูงส่งในที่นี้คือการมองจากมุมมองของสังคม ของค่านิยมในตลาด ซึ่งไม่รู้ว่าถูกหรือผิดหรือไม่อย่างไร แต่เราคิดเอาเองว่าดี เราต้องการที่จะเป็นคนสวย รวย เก่ง ซึ่งมันไม่ใช่ตัวเรา และไม่้มีคุณสมบัติเหล่านี้อยู่ในตัวของเราเลยแม้แต่น้อย


เมื่ออยากจะเป็นแต่ว่าเป็นไปไม่ได้ ความอยากนั้นก่อให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาภายในใจของเราอย่างที่เรียกว่า ทำให้ทรมานทั้งกายและใจ เท่านั้นยังไม่พอ บุคคลซึ่งรักเรา ยังต้องทรมาน ทำให้ท่านทั้งสองคนไม่สบาย ท่านต้องอาย จนเรากลัว ว่าเราจะใช้กรรมเหล่้านี้หมดไปชาติไหน 

แต่ถึงอย่างไรแล้ว ตอนนี้ ชีวิตเราดีขึ้นมาก (ในสายตาเราเอง คนอื่นเราก็คงไม่รู้) มีบ้านอยู่ มีเงินพอใช้อย่างประหยัด เรามีหนทางและความหวังรวมถึงความมั่นใจในศักยภาพของเราในการทำมาหากินรวมทั้งปกป้องชีวิตของเราที่ไม่รู้ว่าจะอีกยาวนานแค่ไหน แต่ความมั่นใจของเรา คงไม่หมดไปง่ายๆ และเราคิดว่า ความมั่นใจนี้ มันจะเป็นแรงทำให้เราสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้นได้ และทำให้เราสามารถใช้ชีวิตที่เหลือนั้นได้ในสังคม

ทั้งหมดนี้ เราคิดว่า เราประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว หลายคนอาจหัวเราะเยาะว่า ไร้สาระ เหมือนกับว่า มองว่าเราล้มเหลวไปทุกอย่าง แต่เชื่อไหม ถึงพวกคนเหล่านั้นจะสั่นคลอนความมั่นใจของเราได้บ้าง แต่เราคิดว่า มันจะไม่มีวันหมดไป วันนี้สิ่งที่เราต้องการ และคิดว่าต้องทำให้มันเกิดขึ้น คือการรักษาและดูแลตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อให้การดำรงอยู่ของเราในอนาคต และปัจจุบัน มีความสุขที่สุด

 และความสุขของเรา จะต้องไม่ไปทำให้ใครเดือดร้อน ความสุขที่สุดของเรา จะเกิดขึ้นเสมอ เมื่อเราพบว่า เราทำได้ และเราทำแล้วมีความสุข ไม่ใช่อดทนกลั้นใจทำ แบบนั้น เรายอมอยู่เฉย ไม่ทำอะไรเลย แบบคนไร้สาระ (ไม่ต่างอะไรกับทุกวันนี้เท่าไหร่นัก ดูๆไปแล้ว) เอาเหอะ ก็ชั้นว่าดี เซ็น Zen เซน บอกว่าดี แหะๆ เอาตัวเองว่าเป็นเซน ไปแล้ว 



แต่กระนั้น เมื่อมองเปรียบเทียบในนิทาน แม่ชีเซน ที่ได้หลุดพ้นจากกิเลส บรรลุธรรมเมื่อถังไม้พังนั้น และยังได้กล่าวว่า ไม่มีพระจันทร์ในน้ำอีกแล้ว จากตรงนี้ เราคงคิดว่า เราทำไม่ได้แบบแม่ชี เราไม่เคยบรรลุ แต่เราคิดว่า เราเข้าใจตัวเรามากขึ้น

ตามความเข้าใจในนิทานเซนเรื่องนี้นั้น แม่ชีเซนได้บรรลุธรรม เพราะว่าถังน้ำที่ผุพังที่ตนเฝ้ารักษาและดูแลเพื่อใช้ประโยชน์ในการหาบน้ำนั้น ได้ผุพังลงแล้ว 
แต่ถ้าเป็นแค่นั้น คงยังไม่เพียงพอสำหรับเซน เซนมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น (ผู้เขียนคิดเอาเอง) ในนิทานยังได้กล่าวถึงพระจันทร์ที่อยู่ในถังนั้น ที๋ได้หายไปพร้อมกัน กับถังน้ำที่แตกนั้น ซึ่งสำหรับตัวผู้เขียนนั้น คิดว่า ตรงนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้แม่ชีบรรลุมากกว่า 


ในสมัยก่อน เมื่อครั้งยังไม่มีไฟฟ้า กลางคืนที่มืดมิด และอากาศค่อนข้างเยือกเย็น จะมีเพียงพระจันทร์เท่านั้น ที่คอยส่องแสงสว่าง ให้ทางและความรื่นรมณ์ของคนในยุคนั้น อาจจะมีคนเถียงว่า แค่พระจันทร์ จะสร้างความรื่นรมย์ได้ยังไง ถ้าคิดแบบนี้ คงต้องลองขังตัวเองในห้องมืด โดยที่ไม่ต้องนอนหลับ ขังตัวเองเอาไว้ เป็นเวลานานสัก 2ชั่วโมง โดยที่ไม่สามารถจะหลับได้ แล้วลองออกมาตอบว่า มีความรู้สึกอย่างไรในห้องที่มิดมิดนั้น 



ถ้าตอบว่า รู้สึกดี ก็ให้เลิกอ่านบล็อคนี้ต่อไป แต่จะเข้ามาดูหัวข้ออื่นต่อก็ได้ ไม่ว่ากัน เพราะโดยส่วนตัวแล้ว การอยู่คนเดียวในที่มิืดมิด ไม่ทำให้ใจรู้สึกสบายเลยแม้แต่น้อย 
หายใจไม่ออก ม่านตาขยายเพื่อรับแสงเข้ามาให้มากที่สุด จะเกิดอาการปวดหัว หายใจไม่ทั่วท้อง และเหมือนว่า ถูกตัดขาดจากโลกไปแล้ว


พระจันทร์จึงมีคุณค่า เปรียบเสมือนกับแสงสว่างในยามมืดมิด และแสงจันทร์นั้น เราสามารถเพ่งมองไปได้ตรงๆ ไม่เหมือนกับดวงอาทิตย์ ที่ถ้ามองตรงๆ ก็คงมองได้ครั้งเดียว จากนั้นอาจจะต้องไปรื่นรมณ์กับโลกมืดตลอดกาล

พระจันทร์จึงไม่มีเพียงความหมายถึงแสงสว่างเท่านั้น แต่ยังคงรวมถึงความงามที่สัมผัสได้ด้วยตา แต่ไม่อาจจับต้อง เนื่องจากอยู่สูงเกินจะไขว่คว้า


เปรียบกับทุกวันนี้เมื่อเทียบเคียงกับสังคมมนุษย์ ก็คงเหมือนสาวๆทั่วไป ที่อิจฉาดารา หรือคนรอบข้าง เพราะว่าเขาสวย รวย มีโอกาส และสมบูรณ์พร้อมได้มากกว่าตน
และแม้ว่าจะพยายามดิ้นรนมากมายสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถไปถึงจุดที่ตนต้องการได้อยู่ดี เพราะว่าอะไร เพราะว่า เราไม่ใช่เขา ที่ตัวเราอิจฉานั่นสิ

หากยังทำถังน้ำใบนั้นให้แตกไม่ได้ ก็แค่ลองเทน้ำที่อยู่ในถังออกให้หมดเสียก่อน จะได้ไม่ต้องทนแบกน้ำนั้น อย่างน้อยมันก็เบาขึ้น แล้วเก่งกาจขึ้นมาเมื่อไหร่ หรือเวลาผ่านไป ถังไม้นั้น ก็จะผุพังไปกาลเวลา แล้วความสุขก็น่าจะเกิดขึ้นตามมาเอง
ผิดพลาดประการใด ผู้เขียนบล็อคต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้เป็นอย่างมากเลยนะคะ แต่อยากให้ทุกคน รักและเอาใจใส่ตัวเองให้มากๆ ให้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบันอย่างมีความสุข อย่ามัววิ่งตามคนอื่น พอใจในสิ่งที่เป็น ทำอะไรได้ไม่เดือดร้อน ให้ตัดสินใจทำได้แล้ว ไม่ต้องรีรอ ไม่ก่อประโยชน์อะไร แต่การกระทำใดๆ ไม่ควรให้ร่างกาย ต้องแบกภาระที่หนักอึ้ง มากขึ้นกว่าเดิม

ขอบคุณค่ะ


วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ผู้เดินทางแห่งกาลเวลา

ช่วงนี้เจ้าของบล็อคไม่ได้นั่งเขียนอะไรเองเท่าไหร่เลยนะคะ เพราะว่าคีย์บอร์ดโน๊ตบุ๊คนั้นพิมพ์ยากมาก และจะต้องบอกเพิ่มเติมอีกว่า นิ้วหัวแม่โป้งขวามือโดนตัวเองเฉือน ขาดไปซะครึ่งหนึ่ง ทำให้สภาวะตอนนี้ ไม่ได้ต่างอะไรกับลิง ที่ไม่สามารถกำ หรือ จับอะไรได้เหมือนกับคนทั่วไป



และต้องบอกว่า นั่นคือสาเหตุและเหตุผลหลักที่ทำให้อารมณ์ต่างๆในการรวบรวมข้อมูลที่จะเขียนยิ่งยากไปอีก

วันนี้อาจจะดูเหมือนไม่เกี่ยวกับเซน แต่จริงๆแล้ว เจ้าของบล็อคคิดว่า นี่หละ เซ็น ถึงแม้ว่าอาจจะดูเหมือนคิดเองเออเอง แต่นี่ทำให้การคิดตระหนักว่าตัวเองเป็นเซ็น Zen อะไรเนี่ย ยิ่งล้ำลึก ฟุ้งซ่านมากขึ้นไปอีก

เป็นบทแปลที่มาจากหนังสือการ์ตูนเรื่องโปรด โดราเอมอน ฉบับที่แปลโดยสำนักพิมพ์เนชันเท่านั้นนะ สำเนักพิมพ์อื่นไ่ม่เห็นว่ามีกลอนแบบนี้อยู่ เป็นโดราเอมอนตอนยาว ฉบับไหนก็ไม่แน่ใจ แต่ว่า เจ้าของบล็อคโปรดปรานมาก ถึงกับไปลอกไว้ในสมุดเรียนน่าจะสมัยเรียนม.3 นานมาแล้ววววว

Doraemon picture take from http://en.wikipedia.org/wiki/Doraemon

"ผู้เดินทางในกาลเวลา

เอนตัวลง ท่ามกลางหญ้าเขียวขจี
หนุนฝ่ามือ นอนสักนิด ดีกว่ามีชีวิตอย่างรีบร้อนไปใย
ใต้แผ่นฟ้าที่เงียบสงัดแบบนี้ หมู่เมฆที่ไหลไปตามกระแสลม บ่นพึมพำเรื่องราวสมัยก่อน แล้วย้อนผ่านเลยไป

พระอาทิตย์ยังคงส่องแสง ตั้งแต่ร้อยล้านปีก่อน ฟ้าก็เป็นสีครามเหมือนกับวันนี้
เบื้องหน้าดวงตะวันที่กำลังจมลงทะเล

ฉันรู้สึกอยากจะมีจิตใจที่อ่อนโยน หัวใจเจ้าเอย จงสงบเงียบ



ใกล้ๆดวงตะวันยามเย็นสะท้อนแสง คลื่นแรงระลอกเข้ามาใกล้
จากทะเลลึกออกไป นำพาความทรงจำครั้งก่อนสาดซัดเข้ามา

ใครบางคนก็เคยนั่งอยู่ตั้งแต่เมื่อหมื่นปีก่อน ที่ริมหาดทรายสีขาวเหมื่อนอย่างเธอตอนนี้

ฝนก็เคยโปรยปรายตั้งแต่เมื่อสองพันปีก่อน ใครบางคนก็เคยเปียกปอน เหมือนอย่างฉันตอนนี้

ฝนก็เคยโปรยปรายตั้งแต่เมื่อสองพันปีก่อน ใครบางคนก็เคยเปียกปอนเหมือนอย่างฉันตอนนี้"



พอถอดเป็นภาษาไทย ดูไม่ออกเลยว่าเป็นกลอน จะต้องเรียกว่า กลอนเปล่า แต่เจ้าของบล็อคมั่นใจอย่างมาก ว่าจะต้องเป็นกลอนที่ไพเราะ และลึกซึ่งกินใจเป็นอย่างยิ่ง

ถ้าตามความเ้ข้าใจของตัวเองก็คงจะต้องพูดว่า นี่เป็นการบอกถึงการพยายามหวนคิด ถึงเรื่องราวที่ทุกข์ทนของชีวิตที่เร่งรีบ และร้อนรนในกาลเวลาแห่งปัจจุบัน

การมีชีวิตอยู่ในกระแสแห่งสังคมของความเร่งรีบ ความทันใจ ยุคสมัยที่ทุกอย่างสามารถสั่งถึงด้วยปลายนิ้ว นับ 1 2 3 แล้วสิ่งที่เราต้องการก็มาอยู่ในกำมือได้ทันทีอย่างไำม่มีความล่าช้า




จนทำให้เรากลายเป็นคนที่ไม่รู้จักรอ ไร้ความอดทน เรากลายเป็นคนแบบนั้นไปแล้ว รู้ตัวกันบ้างหรือเปล่า

แค่รอเติมแก๊สที่ปั๊มแก๊สสักสามสิบนาที เพราะว่าตอนนี้ในจังวัดมีปั๊มแก๊ส ngv อยู่แค่เจ้าเดียว ก็ถึงกับต้องบ่นพึมพำออกมาอย่างไมชวนให้ฟัง โดยที่คนที่ำได้ยินคือคนที่นั่งอยู่ข้างๆรถคันที่ตัวเองนั่งนั้น ไม่ใ่ช่ใคร

แค่รอคิวกดเงินก็วุ่นวายใจ ปากพึมพำก่นด่า คนข้างหน้าที่เงอะงะไม่รู้ความ

แค่รอให้ใครบางคนใช้ทางข้าม ก็บีบแตรไล่

แค่รอลูกอาบน้ำแต่งตัว ก็โมโหด่า หาว่าไม่รู้จักเตรียมตัว ให้รีบๆ

ถามว่าชีวิตแบบนี้ มีความสุขมากไหม

ได้่ด่าแล้วสบายใจขึ้นมามากหรือเปล่า



แล้วถ้าเปลีย่นจากคนด่า มาเป็นคนถูกด่าแล้ว คุณยังรู้สึกดีเหมือนเดิมไหม

ไม่มีใครอยากถูกด่าหรอกนะ แล้วก็ไม่มีใครอยากโดนโมโหด้วย

หัดมองในมุมต่างซะบ้าง

ถ้าคุณเป็นคนเชื่องช้าซะเอง ไม่ใช่ตั้งใจจะให้ช้า แต่เห็นว่าไม่จำเป็นจะต้องรีบ เพราะค่อยๆทำก็ทำได้ คุณจะรู้สึกยังไง

ที่มีคนบ่นว่าคุณช้า อยู่ทุกสองวินาที

ไม่มีใครไม่เคยต้องอดทนหรอกนะ ทุกคนต่างก็ต้องรอ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเมื่อสองพันปีก่อน เหมือนอย่างในกลอนนี้ก็ได้ แค่คิดถึงสมัยคุณยังเป็นเด็กอยู่ ว่าคุณต้องรอนานแค่ไหน แค่ความสะดวกสบายในปัจจุบัน ทำให้คุณกลายเป็นคนที่คอยตำหนิผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา

แต่ถ้าผู้อื่นต้องรอคุณ คุณกลับเห็นว่านั่นคือการรอที่มีคุณค่า เป็นผู้ใหญ่นี่นะ ทำอะไรก็ถูกต้องเสมอ