User-agent: * Allow: / นิทานเซน Zentale

วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ไคเซ็น การเริ่มต้นจากสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้

เรียบเรียงโดย บัญญัติ บุญญา สุรัส ตั้งไพฑูรย์
เริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้

ความสามารถหรือความชำนาญในการเปลี่ยนแปลงวิธีทำงานนั้น จะขึ้นอยู่กับการหาวิธีการที่เปลี่ยนแปลง ได้ง่ายแทนที่จะพยายามเปลี่ยนแปลงงานที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย

 หรืองานที่ต้องใช้พละกำลังในการเปลี่ยนแปลงมาก เปลี่ยนแปลงบางส่วนของงานที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

            เราไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงงานอะไรก็ตามที่เกี่ยวเนื่องด้วย กฏหมายข้อกำหนดหรือมาตรฐานต่างๆ ได้ โดยง่าย และการปรับปรุงบางอย่างก็อาจจะมีผลดีกับคนบางกลุ่มเท่านั้น 

ดังนั้นจึงไม่เป็นการฉลาดเลยที่เราจะ พยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไมควรเปลี่ยนแปลงเมื่อไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

 สำหรับการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกี่ยวเนื่อง ด้วยกฏหมายหรือข้อกำหนดจะเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่แตกต่างไปจากการปรับปรุงในเรื่องงาน 

ดังนั้นจะเป็นการดีกว่า หากจะทำการปรับปรุงด้วยวิธีการอื่นที่แตกต่างไป



การดำเนินการปรับปรุงงานจะหมายถึงการดำเนินการ เปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่เราสามารถทำได้ด้วยตัวของเราเองก่อน

จากนั้นจึงทำการเปลี่ยนแปลงกับสิ่งที่ง่ายต่อการ เปลี่ยนแปลง และไม่ควรลืมว่า การเปลี่ยนแปลงตนเองก็ง่ายกว่าการเปลี่ยนแปลงคนอื่น


 ปัญหาและสิ่งที่ควรระวัง
อย่างไรก็ตามการสร้าง Kaizen ที่เหนือชั้นด้วยคน (winning through people) ในระยะแรกๆย่อมจะท่าให้เกิด ปัญหาต่างๆ ขึ้นในองค์การ ปัญหาที่มักพบ เช่น

                    การต่อต้านจากผู้บริหารระดับกลาง
ถ้าการบริหารแบบเดิมบางงานที่รับผิดชอบโดยผู้บริหารระดับกลางถูกโอนให้ผู้น่ากลุ่ม (team leader) เป็นผู้รับผิดชอบแทน

 ผู้บริหารระดับกลางย่อมจะรู้สึกว่า ถูกลงโทษ เพราะเหมือนถูกลดบทบาท แต่สิ่งนี่จะไม่เป็นปัญหาถ้าบทบาทของผู้บริหารระดับกลาง ได้รับการยกระดับให้ดูแลด้านการบริหารกลยุทธ์มากขึ้น และรับผิดชอบในการผลักดันให้เกิดแนวทาง Kaizen ขึ้นในหน่วยงาน

                    ความวิตกกังวลและความหวาดกลัวของสหภาพ การน่า Kaizen มาใช้ ตามหลักการจะทำให้การ เผชิญหน้าระหว่างนายจ้างและลูกจ้างลดลง

 ดังนั้นฝ่ายบริหารต้องเตรียมสร้างบรรยากาศที่เปิดกว้าง ให้ ตัวแทนของสหภาพสามารถเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น โดยต้องมีการชี้แจงสิ่งต่างๆให้สหภาพได้เข้าใจ อย่างชัดเจน ถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการท่างานที่มีผลกระทบต่างๆ เกิดขึ้น


                    ความท้อแท้และผิดหวังที่ไม่เคยประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง โดยธรรมชาติของ Kaizen นั้น

เมื่อ มาตรฐานที่กำหนดไว้บรรลุผลแล้ว มาตรฐานใหม่ที่สูงกว่าจะต้องถูกกำหนดขึ้นแทน ดังนั้นการพัฒนา จึงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด

                    การประสบความสำเร็จในการท่างานให้บรรลุผลที่กำหนดไว้ในวันนี้จึงไม่ใช่เป้าหมายของวันต่อไป 

ดังนั้นหากผลประโยชน์ของการบรรลุเป้าหมายใหม่ไม่ชัดเจน และการทุ่มเทความพยายามของพนักงานไม่มีผลที่พนักงานจะได้รับกระบวนการทำงานต่างๆ ใน องค์การแบบ Kaizen จะเป็นการบั่นทอนกำลังใจ แทนที่จะเป็นการจูงใจพนักงานให้ปฏิบัติงานอย่างมี ประสิทธิภาพมากขึ้น

                    เวลาที่มีอยู่จำกัด เวลาเป็นทรัพยากรสำคัญที่ต้องใช้เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติและวิธีการทำงานใหม่ๆ ของพนักงาน รวมทั้งปรับปรุงการติดต่อสื่อสารให้มีประสิทธิภาพ 

ทุกคนในองค์การไม่ว่าจะเป็นระดับ บริหาร หรือระดับปฏิบัติการจะต้องร่วมกันตรวจสอบและวางแผนการในเวลาให้เกิดประสิทธิผล จะได้ ร่วมกันทุ่มเทความรู้ความสามารถ และความพยายามเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ดีและส่งเสริมให้เกิด Kaizen ขึ้นในองค์การ



                    การรักษา Kaizenห้ดำเนินอยู่ต่อไป หากการนำ Kaizen มาใช้ไม่สามารถประสานให้เป็นส่วนหนึ่งใน ชีวิตประจำวันของทุกคนในองค์การได้ ก็เป็นการยากที่จะรักษา Kaizen ให้ดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง 

สำหรับ Kaizen นั้น สิ่งที่สำคัญคือต้องทำให้Kaizen เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์การอย่างแท้จริง ผู้บริหารซึ่งมีทัศนคติในเชิงบวกรู้จักกระตุ้นและให้รางวัล รู้จักส่งเสริมการมีส่วนร่วมและมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ทั้งนี้โดยการสร้างลักษณะทางการบริหารที่ดี 

เป็นต้นว่าการติดต่อสื่อสารที่มี ประสิทธิภาพ การมีส่วนร่วม การฝึกอบรมและพัฒนา การวัดผล (measurement) การสร้างวัฒนธรรม ที่ไม่กล่าวโทษ การให้ความสำคัญและรางวัล



นอกจากปัญหาต่างๆที่ผู้บริหารจะต้องเผชิญแล้ว

 การนำ Kaizen มาใช้นั้นมีข้อควรทราบ 2 ประการคือ

ประการแรก หลายองค์พยายามบังคับให้มี Kaizen รูปแบบญี่ปุ่นเกิดขึ้นในองค์การของตน แต่กลับพบว่าผล ที่ได้ไม่เป็นที่น่าพอใจ และยากที่จะรักษาให้ Kaizen ดำเนินต่อไปได้ 

ทั้งนี้เพราะการนำ Kaizen มาใช้นั้นจะต้อง คำนึงถึงวัฒนธรรมของชาติที่มีอยู่แล้วปรับรูปแบบ Kaizen ให้เข้ากับสภาพการณ์จึงจะสามารถนำ Kaizen ไปใช้ได้ อย่างมีประสิทธิผล การถึงระดับที่เรียกว่ามี Kaizen อย่างแท้จริง นั้น ทุกคนจะไม่รู้สึกว่ามี Kaizen ไม่คิดว่ากำลังทำ Kaizen เพราะ Kaizen ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมแล้ว



ประการที่สอง สิ่งหนึ่งที่ญี่ปุ่นมักจะอิจฉาความโชคดีของประเทศทางตะวันตกคือการมีความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม 

ซึ่งเป็นผลมาจากวัฒนธรรมของการเป็นปัจเจกบุคคล (Culture of individuality) ของคนตะวันตก ดังนั้นความท้าทายของประเทศทางตะวันตก คือการสามารถนำ Kaizen ของญี่ป่นไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม
 และในขณะเดียวกันก็สนับสนุนการสร้างนวัตกรรมใหม่พร้อมกันไป ทั้งนี้เพื่อรวมจุดเด่นของประเทศทางตะวันตกและทาง ตะวันออกเข้าด้วยกัน 
จากประสบการณ์ของบริษัทหุ้นส่วนระหว่างญี่ป่นกับประเทศทางตะวันตกสามารถนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่าไม่มีความขัดแย้งระหว่างหลักการทั้งสอง 
หรืออีกนัยหนึ่งคือความขัดแย้งสามารถนำมาซึ่งการสร้างสรรค์

Kaizen ในทางปฏิบัติตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่าผู้ที่ปฏิบัติงานจะทราบปัญหาหรือข้อขัดแย้งของงานนั้นดีกว่าผู้อื่น

 ดังนั้นจึงรู้ว่างานนั้นควรจะปรับปรุงอย่างไร ดังนั้นการเข้ามามีส่วนร่วมของพนักงานทุกคนในองค์การที่ร่วมกัน ปรับปรุงงานของตนเองคนละเล็กคนละน้อยได้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ก่อให้เกิดการปรับปรุงวิธีการทำงานให้มี ประสิทธิภาพมากขั้น และพัฒนาองค์การไปสู่ความเป็นเลิศได้


วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

มาตรการหลากหลายวิธีของไคเซ็น

มาตรการหลากหลายวิธีของไคเซ็น




เรียบเรียงโดย บัญญัติ บุญญา สุรัส ตั้งไพฑูรย์
การคิดแบบอิสระและมีความยืดหยุ่นนั้นจะนำมาซึ่งมาตรการแก้ไขปีญหาที่มีความหลากหลาย แต่ทั้งนี้เรา ต้องไม่ลืมว่าในระหว่างการคิด เราอาจจะพบจุดตีบตัน คือ ไม่สามารถนำสิ่งที่คิดไปปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมได้ 
อันเนื่องมาจากข้อจำกัดทางด้านข้อเท็จจริงบางอย่าง การที่ผู้คิดต้องกลายมาอยู่ในสภาพ "หมดหวัง" หรือ "หยุดความ พยายาม" ในการแก้ไขปัญหาย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดีทั้งสองกรณี
หรือแม้กระทั่งเมื่อได้มีการปฏิบัติเพื่อปรับปรุงแก้ไขปัญหา ไปแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีความสมบูรณ์เสมอไป เพราะสิ่งทั้งหลายต่างมีแนวโน้มว่าจะเกิดมาจากปัจจัยหรือ ตัวแปรมากกว่าหนึ่งเสมอ ปัญหาหลายๆอย่าง ก็เช่นกัน มีผลมาจากสาเหตุหลายๆประการด้วยกัน มาตรการแก้ไข ปัญหาจึงต้องมีความหลากหลายตามสาเหตุเหล่านั้น

 "เราสามารถเข้าใจสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้เป็นอย่างดี ถ้าเราแยกแยะ ประเด็นย่อยๆออกมาได้" ในเรื่องของการแก้ปัญหา ก็เช่นกัน "เราจะรู้วิธีการแก้ไข้ปัญหาได้ดี ถ้าเราแยกแยะปัญหา เหล่านั้นออกเป็นประเด็นต่างๆที่ชัดเจน"
ด้วยเหตุนี้จึงขอแนะนำให้ใช้ 7 QC Tools ตัวใดตัวหนึ่ง เป็นต้นว่าการใช้ผัง ก้างปลา (Cause and Effect Diagram) เพื่อทำการวิเคราะห์ปัญหา เพราะเครื่องมือนี้จะทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนว่า 
เมื่อ ปัญหาเกิดขึ้นจากหลากหลายสาเหตุ ก็ต้องมีมาตรการแก้ไขไว้หลากหลายเช่นกันรวมทั้งยังมีผลดีในแง่ของการ เชื่อมโยงเข้ากับประเด็นที่เกี่ยวข้องซึ่งสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายอีกด้วย

การปรับปรุงโดยพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวิธีการ แนวทางการปฏิบัติหรือสภาพการณ์ต่างถือว่าเป็นการ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในองค์การ 

เมื่อเราต้องพิจารณาว่ามีตัวแปรหรือปัจจัยอะไรบ้างที่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง ขอให้มองย้อนกลับไปที่เรื่องของ 4M ซึ่งในแผนผังก้างปลาจะหมายถึง Man (คน) Methods (วิธีการ) Material (วัสดุ) และ Machine (เครื่องจักร) 

โดยที่ปัจจัยหลายๆปัจจัยควรจะมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งก็รวมถึง

ตำแหน่ง ที่ตั้ง การติดตั้ง         —-                   ตัวแปรด้านพื้นที่
ลำดับ ขั้นตอนการทำงาน        —-                   ตัวแปรด้านเวลา
รูปร่าง สี                                   —-                 ตัวแปรด้านกายภาพ
ขนาด ความยาว ความกว้าง    —-                  ตัวแปรด้านขนาด
เร็วกว่า ช้ากว่า                         —-                ตัวแปรด้านความเร็ว
เพิ่มขึ้น ลดลง                            —-                 ตัวแปรด้านปริมาณ

แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างจะเป็นสิ่งที่ดีเสมอไปเพราะในความเป็นจริงแล้ว มี อยู่บ้างที่ไม่ควรจะทำการเปลี่ยนแปลง และมีอยู่บ้างที่มีความเป็นไปได้ที่จะต้องเปลี่ยนแปลง

ด้วยเหตุนี้ การปรับปรุง จึงไม่ได้หมายความว่าให้เปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ไม่ควรจะเปลี่ยนแปลง หรือสิ่งที่ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ หรือสิ่ง ที่ไม่ได้สร้างผลลัพธ์ใดๆแม้ว่าจะได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ตาม



แต่การปรับปรุงจะหมายถึงการเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ สามารถเปลี่ยนแปลงได้และต้องให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงด้วย


การเปลี่ยนปัจจัยต่างๆที่สามารถกระทำได้ใน การหยุด หรือการลด เป็นสิ่งที่ให้ผลมากที่สุด อาจกล่าวอีก นัยหนึ่งได้ว่า 

การปรับปรุงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจะหมายถึง

                    หยุดการทำงานที่ไม่จำเป็นทั้งหลาย
                    หยุดการทำงานที่ไม่มีประโยชน์
                    หยุดการทำงานที่ไม่มีความสำคัญทั้งหลาย

แต่อย่างไรก็ตาม มีบางสิ่งบางอย่างในโลกนี้:ที่ไม่สามารถทำ,ให้ "หยุด" ได้ถ้าเช่นนั้นเราจะทำอย่างไรได้กับ กรณีดังกล่าว จุดนี้คงต้องมุ่งประเด็นไปที่เรื่องการลด ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีพลังเป็นที่สองรองลงมา 

จงพยายามที่ จะลดงานที่ไม่มีประโยชน์งานที่ก่อความรำคาญ น่าเบื่อหน่าย ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แม้ว่าอาจจะไม่สามารถทำให้ หยุดได้ทั้งหมด แต่ก็ได้นำเข้าขั้นสู่การปรับปรุงแล้ว



วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ไคเซ็น (Kaizen) การปรับปรุงทีละเล็กละน้อยที่ไม่มีที่สิ้นสุด


ไคเซ็น (Kaizen) มาจากภาษาญี่ป่นเป็นคำแพร่ที่หลายและนิยมนำมาใช้เป็นวิธีการพัฒนาปรับปรุง กระบวนการผลิตหรือกระบวนการทำงานที่ดีขึ้น ในลักษณะของการปรับปรุงแบบต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด ประเด็น สำคัญหลักคือ การพิจารณาถึงเรื่องวิธีการ แนวคิด และมาตรการนำเสนอ เพื่อดูที่มาของการแก้ปัญหาแต่ละเรื่อง 
การจะพิจารณาถึงวิธีการ แนวคิดและมาตรการนำเสนอดังกล่าวได้นั้น เราต้องไม่ติดอยู่กับกรอบความคิดเดิมๆไม่ยึดติด อยู่กับวิธีการมองวิธีการคิดหรือการกระทำในแบบเก่าๆ อีกต่อไปมีการพัฒนาการวิธีการมากมายขึ้นมาเพื่อการ แก้ปัญหา แต่วิธีการเหล่านั้นต่างมีข้อจำกัดว่าผู้ใช้ต้องมีทักษะความรู้ในวิธีการใๆ ณ ระดับหนึ่งจึงจะยังผลสำเร็จได้
ซึ่งตรงข้ามกับนวัตกรรม(Innovation) เป็นสิ่งที่เรากล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงที่มีพลวัตรมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว อย่างก้าวกระโดดเพื่อให้กรรมวิธีการทำงานหรือผลิตภัณฑ์ให้มีความทันสมัย มีคุณค่าโดยใช้เทคโนโลยีในการ ขับเคลื่อน การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วแต่อาจไม่ยาวนาน
Kaizen คืออะไร?
คำว่า "Kaizen" เป็นศัพท์ภาษาญี่ป่น แปลว่า "การปรับปรุง (improvement)" ซึ่งหากแยกความหมายตาม พยางค์แล้วจะแยกได้ 2คำคือ
"Kai" แปลว่า"การเปลี่ยนแปลง (change)"
  และ "Zen" แปลว่า "ดี (good)" 
ดังนั้นการ เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีก็คือการปรับปรุงนั่นเอง
Kaizen เป็นแนวคิดธรรมดาและเป็นส่วนหนื่งในทฤษฎีการบริหารของญี่ป่น ซึ่งโดยธรรมชาติหรือด้วยการฝึกนั้นทำให้คนญี่ป่นมีความรู้สึกรับผิดชอบในการที่จะทำให้ทุกอย่างดำเนินไปโดยราบรื่นเท่าที่จะสามารถทำได้ ด้วยการปรับปรุงสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในชีวิตประจำวันหรือการทำงาน
นี่เป็นจุดแข็งที่ทำให้Kaizen ดำเนินไปได้อย่างดีในประเทศญี่ป่น เพราะโดยหลักการแล้ว Kaizen ไม่ใช่เพียงการปรับปรุงเท่านั้น แต่หมายความรวม ไปถึงการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ไม่มีที่สิ้นสุดด้วย (continuous improvement)
ทำไมต้อง Kaizen?
ตามหลักการของ Kaizen แล้วสาเหตุเพียงเล็กน้อยก็สามารถก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงได้ดังนั้น Kaizen จึงเป็นเหมือนสิ่งที่เตือนให้เราตระหนักถึงปัญหาอย่างนี้อยู่เสมอ นอกจากนั้นยังต้องหาทางแก้ไขปัญหา หรือ ปรับปรุงพัฒนาสิ่งต่างๆให้ดีขึ้นอยู่เป็นนิจ โดยหลักการนี้จะทำให้เราผลิตสินค้าและบริการที่มีคุณภาพสามารถ ตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้าได้นอกจากนั้นยังเป็นการใช้ความคิดความสามารถร่วมกันปรับปรุง สภาพแวดล้อมในการทำงานให้ดีขึ้นซึ่งหมายถึงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้ปฏิบัติงานทุกคนนั่นเอง

นำ Kaizen มาใช้อย่างไร?
การปฏิบัติงานใดๆ ก็ตามจะสำเร็จไม่ได้หากขาดความร่วมมือจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ในทางกลับกัน สิ่งต่างไม่ว่า จะเป็น โครงการ แผนงาน หรืองานที่ได้รับมอบหมาย ย่อมจะทำสำเร็จได้โดยง่าย
ถ้าได้รับความร่วมมือ การมีส่วน ร่วม การจงใจ และการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของสมาชิกแต่ละคนในองค์การ คำกล่าวที่ว่า"การให้พนักงานมีส่วนร่วม" นั้นดูเป็นสิ่งที่ไม่ยากนักแต่เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ผู้บริหารว่าการบริหารคนคือสิ่งที่ยากที่สุด

อย่างไรก็ตามการ ผลักดันให้สมาชิกในองค์การเข้ามามีส่วนร่วมได้นั้น สำคัญอยู่ที่ความมุ่งมั่นและความตั้งใจจริงของผู้บริหารระดับสูง (Top Management Commitment) 

ความอุตสาหพยายามและการมีนโยบายและแผนงานที่ชัดเจนทั้งนี้เนื่องจากการ ทำงานที่ดีได้อย่างเนื่องนั้นจำเป็นต้องมีระบบที่ดีมารองรับจึงจะสร้างสรรค์ให้เกิดผลอย่างที่ต้องการได้

จุดเริ่มต้นที่ดีคือการมุ่งเน้นให้เกิดบรรยากาศของการมีความคิดสร้างสรรค์จากพนักงานทุกคนอย่าง กว้างขวางทั่วทั้งองค์การ โดยมีแนวคิดของ Kaizen เป็นพื้นฐาน เชื่อมโยงถึงค่านิยมและบรรทัดฐานทุกอย่างใน องค์การ 
ไม่ใช่เพียงใช้เครื่องมือใดเครื่องมือหนื่ง เช่น รส, QCC, TQM, เท่านั้น เพราะ Kaizen เป็นแนวคิดรวบยอด (Total Concept) ไม่ใช่สิ่งที่จะเลือกมาใช้บางส่วน แล้วหวังว่าจะได้ผลประโยชน์ตอบแทนอย่างที่ต้องการ



ข้อแตกต่างระหว่างการบริหารในแนวทางของประเทศทางตะวันตกนั้นมีอยู่หลายประการ ประการหนื่งคือ การบริหารของประเทศทางตะวันตกมักจะนำเอาเครื่องมือทางการบริหารและเทคนิคใหม่ๆ (New Management Tools and Techniques) ที่มีคำตอบสำเร็จรูปมาใช้และเอาจริงเอาจังกับการใช้สิ่งเหล่านั้น
 ซึ่งจะก่อให้เกิดผลดีในระยะเวลา อันสั้น แต่ลืมคิดถึงสิ่งที่ควรปรับปรุงในระยะยาว

ส่วนการบริหารของประเทศทางตะวันออกนั้น เป็นที่ทราบกันว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้คำตอบที่แน่ชัดและให้ผลอย่างรวดเร็ว (quick - fix answers) 
ดังนั้นสิ่งที่จะสามารถประกันความ เป็นเลิศก็คือ การก้าวไปอย่างช้าๆ แต่ให้ผลที่แน่นอน

โดยความเชื่อที่ว่า การสู่ความเป็นเลิศนั้นเป็นการเดินทางที่ไม่ มีที่สิ้นสุด สิ่งสำคัญที่จะต้องระลึกอยู่เสมอคือ เป็นธรรมดาที่ย่อมจะมีการต่อต้านในตอนเริ่มต้น แต่ต่อมา กระบวนการต่างๆจะสามารถสร้างความสมดุลขึ้นมาได้

ทั้งนี้ผู้บริหารจะต้องมีความเชื่อมั่นและสร้างเสรีภาพให้กับ ทรัพยากรบุคคลขององค์การ 
ซึ่งผู้บริหารและฝ่ายบุคคลจะต้องร่วมกันหาทางที่ง่ายและเหมาะสมที่จะส่งเสริมให้คนส่วนมากหันมาร่วมกันขจัดปัญหาอุปสรรคต่างๆ ที่ขวางหน้าอยู่ 

ถือเป็นการเปิดเสรีภาพและเชื่อมั่นในคุณค่าและ ความสามารถของคน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำยากที่สุดในกระบวนการบริหารของฝ่ายบริหาร การประสานวัตถุประสงค์ของ องค์การและการจัดการด้านทรัพยากรมนุษย์เข้ากับหลักการของ Kaizen


โดยปกติในประเทศทางตะวันตกฝ่ายบุคคลจะเป็นผู้กำหนดกลยุทธ์ทางด้านทรัพยากรมนุษย์โดยไม่ได้มีการ พิจารณาแผนงานด้านอื่นๆร่วม และในบางกรณีกลยุทธ์ด้านทรัพยากรมนุษย์จะได้รับความสนใจน้อยมากจากผู้บริหาร

การที่บริษัทให้ความสนใจในเรื่องการวางแผนกลยุทธ์ด้านทรัพยากรมนุษย์อย่างจริงจัง ย่อมถือว่าเป็นบริษัท ที่มีพื้นฐานของ Kaizen บริษัทเช่นนี้ผู้บริหารจะแสดงออกถึงความมุ่งมั่นโดยเข้าไปมีส่วนร่วมในการวางแผน 
รวมทั้ง ร่วมอภิปรายและให้ความคิดเห็นเพื่อกำหนดกลยุทธ์ด้านทรัพยากรมนุษย์ด้วย และจะมีคณะทำงานจากสายต่างๆ เพื่อ ร่วมกันแสดงความคิดเห็นให้แน่ใจว่ากลยุทธ์ด้านทรัพยากรมนุษย์ที่กำหนดขึ้นจะครอบคลุมและสามารถตอบสนอง ความต้องการของบริษัทในระยะยาว






หลังจากที่มีกลยุทธ์และแผนงานแล้ว ขั้นต่อไปคือการสื่อสารให้รับรู้ทั่วทั้งองค์การ และพยายามปลูกฝังให้ สมาชิกทุกคนมีทัศนคติแบบ Kaizen 
นอกจากนั้นการกำหนดภารกิจ (mission) ขององค์การ นอกจากจะอธิบายให้เห็น ว่าพนักงานเป็นส่วนสำคัญของภารกิจดังกล่าวแล้ว ควรจะสอดแทรกแนวคิด Kaizen ไว้ด้วย และมีการทบทวนเป็น ประจำ เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์และคิดเสมอว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งที่ปรับปรุงได้เสมอ


วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

ต้นไผ่ และ น้ำชา



ที่มา :  นันทมุนี: คิดอย่างเซน ; สำนักพิมพ์ไพลิน กรุงเทพมหานคร,2546.

ต้นไผ่ คือสิ่งที่อยู่คู่กับนิกายเซนมาเนินนานนับตั้งแต่เริ่ม อันเนื่องจากประเทศจีนและญี่ปุ่นนั้น มีต้นไผ่ค่อนข้างมากกว่าแถวประเทศอื่นๆ

เคยมีพระภิกษุผู้รู้ธรรมได้เปรียบเอาต้นไผ่ไว้อย่างน่าฟังว่า ต้นไผ่นี้เหมือนกับผู้มีความมั่นคงในด้านพุทธะ โดยได้พรรณาเอาไว้ดังนี้

ต้นไำผ่อ่อนพลิ้วตามสายลมก็จริงอยู่ แต่ต้นไม้นี้ก็มีความมั่นคง เหนียวแน่มากในแต่ละลำ ไม่ว่าจะเป็นไผ่ชนิดใด อย่างไรก็ตาม ต่างก็เหมือนกันหมด แต่เมื่อผ่าลำต้นของไผ่ออกแล้ว ปรากฏว่า ไม่มีความัตนอะไรในไผ่นั้นๆเลย กลับเป็นแต่เพียงข้อและปล้อง ช่วงกลางโล่ง

ดังนี้จึงขอกล่าวว่า ต้นไผ่เหมือนผู้ที่ถึงพุทธะ ที่อยู่อย่างสามัญธรรมดาได้ในทุกสถานการณ์

 อีกทั้งยังมีความมั่นคงในธรรม ไม่บิดพลิ้ววกกลับไปหาหนทางอื่นที่จิืตใจตกต่ำลง ในความมั่นคงนี้ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นอะไรเลยทั้งสิ้น เหมือนกับไผ่ที่ผ่าซีกแล้ว แต่มีความเป็นข้อและปล้องเท่านั้นเอง



ต้นไผ่ กับ เซน จึงเหมือนสิ่งที่อยู่คู่กันมา โดยการอนุมานขึ้นของพระเซน ส่วนเรื่องการดื่มชานั้น ถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่งของเซน ในทุกครั้งที่มีอาคันตุกะมาเยือน พระเซนมักจะนำน้ำชามาเสิร์ฟมากกว่าการนำกาแฟ หรือน้ำปานะอื่นๆมาใช้

น้ำชาเองก็เกิดจากความเรียบง่าย เพียงต้มน้ำใส่กา แล้วผสมใบชาลงไปเท่านั้น ก็จะกลายเป็นน้ำชา ด้วยความเรียบง่ายอย่างนี้เอง เซนจึงนิยมการดื่มชามากที่สุด

และเมื่อคราวใดที่การดื่มชานั้นได้นั่งใต้ต้นไผ่พร้อมกัน ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มพูนศิลปะของการดื่มชามากขึ้น และอาจเป็นจังหวะของการได้พบพุทธะในใจ  โดยไม่ทันรู้ตัว



ส่วนนี้เป็นความคิดเห็นของผู้เขียนซึ่งเป็นเจ้าของบล็อคนะคะ ผิดถูกประการใด ขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียวค่ะ

ผู้เขียนเองเป็นคนชอบดื่มชา มากกว่าการดื่มกาแฟ และจริงๆแล้ว แทบจะเรียกได้ว่า ไม่ดื่มกาแฟเลย แต่ในบางครั้งที่มีน้ำหนักตัวเกินกำหนด ผู้เขียนก็จะทำการลดน้ำหนักด้วยวิธีอันไม่ถูกต้องนัก คือการดื่มกาแฟดำ และทานไข่ต้ม เป็นอาหารหลัก


ดังนั้น ความทรงจำในการดิ่มกาแฟของผู้เขียน จึงค่อนข้างระทมขมขื่น เมื่อเปรียบเทียบกับการดื่มชา ซึ่งมักจะได้เลือกดิ่ม ในโอกาสที่ไม่มีการอดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก ชาจึงเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของความสุขของผู้เขียน

ส่วนเรื่องของพุทธะ หรือภาวะจิตแห่งเซน เมื่อพิจารณาจากชานั้น ผู้เขียนเอง ยังห่างไกล และไม่เคยคิดถึงเลย แม้กระทั่งเวลาได้ดื่มชาอย่างมีความสุขในช่วงเวลาที่จิตใจสงบ ผู้เขียนก็มักจะดื่มด่ำกับความรุ้สึกของชา เพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะ ชาไข่มุก ชาชัก ล้วนแต่เป็นของโปรดของผู้เขียนทั้งนั้น

และเมื่อกล่าวถึงต้นไผ่ ซึ่งเป็นต้นไม้ ที่ผู้เขียนเองรู้สึก และเคยมีความรู้สึกว่า น่ากลัว จำได้รางๆว่า เมื่อยังเด็ก ผู้เขียนเคยโดยหนามจากไม้ไผ่บาด และใบไผ่ ก็บาดนิ้ว และนอกจากนั้น คุณพ่อยังมีสระน้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งสระที่อยู่ข้างเคียงกัน ดูรกร้าง และน่ากลัวมาก เพราะมีต้นไผ่ล้อมรอบ



ดังนั้น หากกล่าวถึง ต้นไผ่ และใบชา กับเซนนั้น ผู้เขียนเองคงไม่สามารถพิจารณาถึงภาวะแห่งจิตที่สงบ ใดๆได้ แต่หากพิจารณากันดีๆ โดยปราศจากความกลัวและความลุ่มหลงในรสชาติของชาแล้ว ผู้เขียนน่าจะคิด และพิจารณา ได้มากกว่านี้ แต่ตอนนี้ ต้องไปสงบจิตใจก่อนค่ะ ช่วงนี้มีหลายเหตุการณ์ ที่ทำให้ใจไม่สงบ และทำให้ห่างหายจากการรวบรวมจิตใจ มาเขียน และอ่าน รวมถึงพิจารณาถึงเซ็น อย่างจริงจัง

หากจิตสงบแล้ว แม้เพียงนั่งอยู่นิ่งๆ ก็อาจเข้าใจถึงอะไรหลายอย่าง ได้ลึกซึ้งมากกว่าเดิม

สวัสดีค่ะ

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554

กิเลสกับหน้าที่นั้นต่างกัน





กิเลส หมายถึงความอยากทุกประเภทที่ก่อนให้เกิดตัณหาและอุปทาน


ส่วนหน้าที่ คือ สิ่งที่พึงกระทำด้วยเหตุและผล การที่คนธรรมดา หรือฆราวาสนั้นศึกษาธรรมแล้ว ก็จะต้องแยกยะฆราวาสเมื่อมาศึกษาธรรมบางอย่างก็อาจจะแลดูขัดๆกับการปฏิบัติอยู่


 เพราะกาีีีรที่มีครอบครัวแล้วจะต้องมีการเสพบางอย่างที่ไม่ถูกต้องนักถือว่าเป็นเรื่องปกติของฆราวาส 


แต่หากภิกษุกระทำก็จะถือว่าเป็นความผิดอย่างมหันต์โดยแท้ จึงกล่าวว่า กิเลสและหน้าที่นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


หากบางครั้งเรามีความต้องการอยากจะได้สิ่งของหรืออะไรก็ตาม ลองพิจารณาดูว่า สิ่งนั้นเป็นกิเลสหรือไม่ ทำไปเพื่ออะไร เมื่อรู้แล้วว่าเป็นเพียงความอยากของกิเลสก็อย่าได้ทำ 


จงลองพิจารณาฝึกฝนตนเองให้ออกห่างจากความอยาก แล้วจะพบว่า ความเบาสบายเป็นอย่างไร หรือที่ภาษาของทางโลกนั้นเรียกว่า "ความสุข"


ตราบใดที่ฆราวาสยังคงต้องมีหน้าที่ให้ถึงซึ่งหน้าที่อย่างพร้อมทุกประการ ย่อมจะทำให้พบกับพุทธะถาวรได้ยาก


 เพียงสิ่งเดียวของจุดเริ่มต้นก็คือ พยายามฝึกจิตใจคัดค้านกับกิเลส ตัณหา ที่เกินความจำเป็น โดยเริ่มจากสิ่งเล็กๆน้อยๆก่อน แล้วค่อยๆขยายวงกว้างออกไป


ไม่นานเกินไปเชื่อว่า หากคนนั้นทำอย่างจริงจัง ย่อมเห็นพุทธะถาวรอยู่เบื้องหน้า การเห็นธรรมและพุทธะ ไม่จำเป็นต้องเห็นฉับพลัน หรือว่าต้องสั่งสมต่อไปเรื่อยๆเท่านั้น


 ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความพร้อมเท่านั้นเพียงอย่างเดียวโดยแน่แท้  


อย่างน้อยเมื่อสามารถแยกออกโดยความเข้าใจที่ถูกต้องถ่องแท้ระหว่างกิเลสและหน้าที่ เมื่อนั้นการตั้งมั่นอยู่ในธรรมจะบังเกิด


สำหรับนิทานเรื่องนี้ที่จะนำมาประกอบบล็อค คาดว่าหลายๆท่านอาจจะเคยอ่านมาแล้วนะคะ แต่อย่างไรก็ตาม อยากให้ลองอ่านกันอีกครั้งหนึ่ง เพราะแต่ละครั้ง ความคิดที่ได้จากนิทานอาจจะต่างกันไป


 นี่เป็นนิทานเรื่องแรกๆเลยที่เจ้าของบล็อคได้ลองอ่านเกี่ยวกับเซนค่ะ 







แบกไว้ทำไม
หลวงพ่อตันซัน เป็นพระเซ็นที่มีความแตกฉานมาก ท่านมีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 100 ปีมานี่เอง ท่านเป็นอาจารย์สอนวิชาปรัชญาในมหาวิทยาลัยอิมพีเรียลในโตเกียวด้วย
วันหนึ่ง ท่านได้ชวนท่านเอกิโด เพื่อนพระภิกษุซึ่งเคร่งครัดหยุมหยิมในระเบียบแบบแผนต่างๆ ออกเดินธุดงค์ ระหว่างทาง พอมาถึงที่ต่ำเป็นแอ่งมีโคลนเฉอะแฉะ จะเดินอ้อมก็ไม่ได้

 ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวเสียสวยงาม กำลังเก้ๆ กังๆ พยายามจะเดินข้ามตรงที่แฉะ แต่ไม่กล้า เพราะกลัวเครื่องแต่งกายที่งดงามจะเปรอะเปื้อน 
ก่อนที่ท่านเอกิโดจะแปลกใจที่มีหญิงสาวแต่งตัวเสียสวยงามมาเดินอยู่ในป่าคนเดียว ก็ต้องตกตะลึง เพราะเห็นท่านตันซันก้าวเดินสวบๆ เข้าไปหาหญิงผู้นั้น แล้วช้อนร่างอุ้มเดินข้ามแอ่งโคลนไป 
พอพ้นก็วางลงเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสองเดินทางต่อไปโดยไม่ได้ปริปากพูดจากัน 

จนกระทั่งถึงเวลาหยุดพักค่ำวันนั้น เมื่อจัดเตรียมที่พักแล้ว ท่านเอกิโดก็หลุดปากออกมาอย่างกลั้นใจจะไม่พูดไม่ไหว เป็นเชิงสั่งสอนท่านตันซัน ว่า

"พวกเราเป็นพระ น่าจะไม่เข้าใกล้ผู้หญิงจะดีกว่า ยิ่งแตะเนื้อต้องตัวด้วยแล้วยิ่งไม่ถูกต้อง ทำไมท่านถึงทำอย่างนั้น ?"
"ผมวางเด็กสาวคนนั้นลงไปตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว ท่านยังจะมาแบกเอาไว้จนถึงเดี๋ยวนี้อยู่อีกหรือ" หลวงพ่อตันซันโปรดเพื่อนท่าน

โดนย้อนเพียงเท่านี้ ท่านเอกิโดก็สว่างโพลงขึ้นทันที ตัวท่านก้าวพ้นตมมาเมื่อเช้านี้ แต่จิตของท่านเพิ่งจะมาข้ามพ้นในขณะนั้นนั่นเอง

ท่านละครับท่านข้ามพ้นตมหรือยัง หรือว่ากำลังสนุกลุยโคลนอยู่ ?





ที่มาต้นเรื่อง : นันทมุนี.คิดอย่างเซน:ไพลินบุ๊คเน็ต,กรุงเทพมหานคร;2546.
ที่มานิทานเซน : dharma-gateway.com/misc/misc-zen-35