User-agent: * Allow: / นิทานเซน Zentale

วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เรื่องของผี

           
          กว่าจะลงมือเขียนแต่ละบล็อคได้นั้น มันก็ใช้เวลานานแสนนานพอสมควรเหมือนกันเลยทีเดียว
          ขั้นตอนที่ยากไม่ได้อยู่ที่การลงมือพิมพ์ลงไปหลังจากพิมพ์ครั้งแรกแล้วหรอกนะคะ
 แต่ไอ้การจะรวบรวมพลังกายใจที่การที่จะลงมือพิมพ์ในครั้งแรกเลยมากกว่า นั่นเป็นส่วนที่ถือว่ายากที่สุดแล้วในการทำงานนี้ งานที่ไม่รู้ว่า จะได้เงินหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ทำแล้วรู้สึกดี เหมือนกับการไำด้จรรโลงใจ และสงบจิตใจ ทั้งที่พ่อแม่ก็ไม่ได้เห็นด้วย เพราะว่าไม่ว่าพ่อแม่คนไหน ก็ไม่ต้องการให้ลูกอยู่แบบเลื่อนลอยแน่ๆ


           ถึงได้พูดแล้วพูดอีก ว่า การมีชีวิตถือว่าเป็นความทุกข์ ถึงแม้ว่าจะมีสุขปะปนอยู่ด้วย แต่มันน้อยกว่าทุกข์เสียอย่างยิ่ง  จนยิ่งอยากจะบอกว่า ไม่อยากจะเริ่มต้นครอบครัวใหม่ เพราะว่าไอ้ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน มันก็ไม่ได้มีความสุขมากพอที่ถึงขั้นที่จะอยากผลิตทายาทออกมาเพื่อให้จรรโลงสังคมอันแสนเน่าเฟะนี้เลยแม้แต่น้อย อยากจะเกิดคนเดียว ตายมันก็คนเดียว แต่ครั้นจะฆ่าตัวตาย ก็รังแต่จะเป็นบาป จำเป็นต้องทนหยัดยืนฝืนอยู่ไป พูดง่ายๆ อยู่รอวันตาย

          อาการอยากตาย และรู้สึกว่าเบื่อชีวิต ชีวิตนั้นแสนจะไร้ค่านี้ หากไปคุยกับใคร เขาก็คงคิดว่า อีนังนี่ช่างแสนเป็นคนที่ไม่เอาอ่าว คิดแต่จะตายๆๆ คนเขาลำบากกว่าเราเยอะแยะ ทำไมเขายังสู้ชีวิต ไม่ยอมตายซะทีล่ะ ก็ต้องบอกว่า ถ้างั้น คนทุกคนก็คงเหมือนกันหมดแล้วสินะ  มันก็ต้องมีที่แตกต่างกันบ้างอยู่แล้ว นี่เขาถึงได้เรียกว่า คน



          การที่เราเห็นว่า ชีวิตเราเป็นทุกข์ โลกของมนุษย์นั้นแสนลำบาก ไม่เห็นจะอยากมีทายาทสืบต่อไป อยากแต่จะตายไปคนเดียวให้มันเหี่ยวแห้งตายนั้น ก็ต้องถือว่า เป็นความคิดของเรา แล้วถามว่าคิดแบบนี้ได้อะไรดีขึ้นมา ก็ต้องบอกว่า ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก แต่เราก็ยังคิดอยู่ อย่างน้อยที่เราคิดอยู่ตอนนี้ ก็คงไม่ได้เป็นอันตรายต่อสังคม 
          
        และการที่คิดมานั่งคิดแล้วคิดอีกว่า โลกนี้แสนอับเฉา อันตัวเรานั้นจะอยู่ไปใยนั้น ก็ไม่ได้ทำให้เราิคิดฆ่าตัวตาย หรือทำอะไรเพื่อฆ่าตัวตาย หรือทำอะไรเพื่อลดคุณค่าในตัวเองไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ที่เราทำก็คือ คิด คิด และคิด 

        ถ้าว่ากันตามหลักการทางการแพทย์แล้ว เขาคงเรียกเราว่า ผู้ป่วยโรคจิตเภท น่าจะเป็นประเภท 
ไบโพลาร์ เรียกว่า โรคจิตชนิดซึมเศร้า คิดดีก็จะทำให้อารมณ์ดีั ร่าเริง หัวเราะเฮฮาได้ทั้งวัน พอคิดเรื่องไม่ดี จิตใจก็จะเศร้าซึม หม่นหมอง อยากจะร้องให้อยู่ทุกวี่วัน ไม่แคล้วจะได้กินยาระงับประสาท ซึ่งเราไม่ชอบเอามากๆ เรียนมาก็ไม่ชอบ และไม่คิดจะใช้ 

       บอกตรงๆว่า ณ ขณะนี้ ยากลุ่มนี้เป็นยาที่เราศรัทธา น้อย ถึงน้อยที่สุด ในกลุ่มยาแผนปัจจุบัน และเท่าีที่เจอมา ไม่เคยเจอใครคนไหน กินยาแล้วหาย จากอาการทั้งหลาย ที่ชักนำไปให้ ใช้ยาที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทเหล่านั้นได้เลย ส่วนมากที่เจอก็มีแต่เพิ่มขนาด กินแล้วก็โง่ลงๆไม่ได้วัดกันที่ระดับไอคิวนะคะ แต่คิดและเห็นจากการตอบสนองที่ช้าลงต่างหาก คนใกล้ตัวที่รู้จักหลายท่าน ทานยาพวกนี้เข้าไป จากเคยร่าเริง กลายเป็นเศร้าซึมไปเลยทีเดียว ถามตอบก็ช้าลงๆทุกที


 แล้วพอหมดฤทธิ์ยาก็อาละวาด ราคาก็ไม่ใช่ว่าถูก แพงอีกต่างหาก  กินไปก็ไม่หาย ขอบายและไม่ต้องการกิน ไม่ว่ายานอนหลับ ที่ใช้อยู่บ้างก็คงจะมีแค่บางตัว ที่ออกฤทธิ์ช่วยในการรักษาไมเกรน แต่ถ้าไม่วิกฤตจริงๆก็ไม่มีวันใช้ เพราะว่าใช้แล้ว รู้สึกว่าหลอน 


        หลอน เกิดจากอะไร ถ้าทางการแพทย์อีกนั่นแหละ การแพทย์ที่พยายามจะแยกมนุษย์ ให้เป็นเครื่องจักรชิ้นหนึ่ง ที่ต้องทำงานโดยกระบวนการอันซับซ้อน จับคนที่หลอน และคิดว่า เขาเป็นโรคจิตเภท มาทำการทดลอง ทดสอบหาสารเคมีบางอย่างที่ส่งผลต่อการทำงานของร่างกายและสมองแล้วการแพทย์สมัยใหม่นี้อีกนั่นแหละ ที่อนุมานว่าไอ้เจ้าสารเคมีนี้เข้าไปมีผลต่อร่างกาย แล้วสร้างทฤษฎีออกมา ว่าขาดสารตัวนั้นหรือสารแบบนี้แล้วจะมีอาการแบบนี้ และต้องขอย้ำอย่างชัดเจนอีกครั้งว่า ยาที่กล่าวถึงในกระทู้นี้กล่่าวถึงเฉพาะยาที่ใช้กับกลุ่มอาการทางจิตประสาทเท่านั้น

      การแพทย์ที่แยกมนุษย์เป็นส่วนๆนี้ พยายามให้การรักษาโรคที่ส่วนหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ โรคทางจิต ด้วยการใช้สารเคมีทดแทนลงไปเมื่อเกิดโรคที่เขาคิดกันแล้วว่า น่าจะเกิดจากการขาดสารนี้ๆๆ ผลที่ได้ก็คือ ง่วงซึม และง่วงซึม (พูดอย่างกับเคยกินเอง) ก็ที่เคยคุยๆดูนะคะ ไม่ใช่ว่าลองเองหรอก ปกติไำม่เคยกลัวที่จะลองยานะ แต่ยาประสาทเนี่ย ไม่อยากจะลองเลยจริงๆ คิดไม่ออกว่า กินแล้ว นอกจากอาการคึก กับอาการซึมง่วงแล้ว มีแบบอื่นมั้ย แต่ที่สำคัญก็คืิอ ไม่อยากจะได้รับรู้ด้วยหรอก จะคึกหรือจะซึม ก็ไม่เอา ขอเป็นปกติแบบที่รับรู้เองว่าตัวเองเป็นปกติ ถึงจะมีคนมองว่าเราไม่ค่อยปกติก็เถอะ ฮ่าๆ

     ความหลอนนั้น เกิดขึ้นมาจากอะไรก็คงไม่มีทฤษฎีที่แน่ัชัดบอกออกมาได้ แต่ผลที่เกิดจากความหลอนนั้น เห็นชัดว่า สามารถอธิบายได้อย่างแจ่มชัด ไม่เชื่อลองดูรูปพวกนี้ดูค่ะ  ใครขวัญอ่อนต้องขออภัยไว้เลยนะคะ สามารถปิดตาแล้วมองเฉพาะดานขวาไว้ จะได้ไม่ตกใจนะคะ










ที่มาของภาพ : http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A9781651/A9781651.html




ใครจะเป็นยังไงไม่รู้ แต่เจ้าของบล็อคดูรูปผีสาวพวกนี้แล้วรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า พวกรูขุมขนดูจะพร้อมใจกันตั้งชัน โอ้โฮเฮะ สยอง และหลอนมาก แม้แต่ตอนที่พิมพ์อยู่นี้ จะปวดอยากเข้าห้องน้ำมากๆ แต่จ้างก็ไม่ไป กลัว เหมือนราวกับว่า พวกเธอมาควานอยู่รายล้อมตัว เฮ้อ ...แค่รูปแท้ๆ ใจมันคิดพาทำให้กลัว กลัวจนรู้สึกว่าเธออยู่รอบตัว ไม่เอาแล้ว ต้องไปอ่านนิทานแก้กลัวดีกว่า เซนก็มีนิทานของผีให้อ่านเหมือนกันนะคะ หวังว่า อ่านแล้วคงเลิกกลัวได้นะ สยองและหลอนจริงๆเลย ณ ตอนนี้




นิทานเซนเรื่อง
เรื่องของผี
านมาแล้ว มีสามีภรรยาคู่หนึ่งรักกันมาก ต่อมาภรรยาเกิดล้มป่วยหนักจะไม่รอดแล้ว จึงได้ขอร้องสามีว่า ถ้านางตายจากไปแล้วขออย่าได้ไปมีหญิงอื่นอีก ถ้าไม่เชื่อนางก็จะเป็นผีมารบกวนไม่หยุด หลังจากภรรยาตายไปแล้ว 
ชายผู้นั้นก็ได้ปฏิบัติตามคำขอร้องด้วยดี
.... จนเวลาล่วงเลยไปกว่า เดือน ฝ่ายชายก็ได้พบรักกับหญิงคนใหม่จนถึงกับทำการหมั้นหมายกัน (ผู้เขียนบล็อค สามเดือนหรือ ถ้าสามเดือนและเราเป็นผีเองก็คงอยากจะกระโดดจากหลุมมาแหกอกคน คงไม่แค่ตัดพ้อหรอกนะ


เมื่อเป็นเช่นนั้น พอตกกลางคืนผีภรรยาเดิม ก็มาตัดพ้อต่อว่าต่างๆ นานา 




แม้ชายผู้นั้นจะชี้แจงอย่างไร ผีภรรยาเดิมก็ไม่ยอม เขาไปทำอะไรๆ มาแม้จะลับอย่างไรผีภรรยาก็รู้หมด เป็นเช่นนี้ทุกคืน เขาจึงกินไม่ได้นอนไม่หลับ ร่างกายซูบผอม ญาติมิตรก็ได้แต่ปลอบโยน แต่ก็ไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้ 
จนสุดที่จะทน ชายผู้นั้นจึงได้ไปหารือกับอาจารย์เซ็น ซึ่งอยู่วัดใกล้ๆ บนเขา ท่านอาจารย์นั่งฟังอย่างเห็นใจ ท่านรู้อยู่เต็มอกว่าผีภรรยาที่มาหาเขาทุกคืนนั้นคืออะไร แต่จะอธิบายให้เขาฟังคงยาก
"โอ ผีเมียเจ้านี่ช่างรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเลยรึ ตอนนี้ถ้ามันมาอีกเจ้าลองให้มันทายปัญหาดู และสัญญาไว้เลยว่า ถ้าหากผีตอบปัญหาได้ เจ้าจะยอมถอนหมั้นและอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต"หลวงพ่อแนะ
"จะให้ผมถามอะไรล่ะครับ ?ชายผู้นั้นสงสัย
"เจ้าจงหาเมล็ดถั่วไว้กำมือใหญ่ แล้วให้ผีทายว่ามีกี่เมล็ด หากผีทายไม่ได้ เจ้าจะได้รู้เสียที ว่าผีที่เจ้ารู้เห็นนั้นคืออะไร"



ตกคืนนั้นผีก็มาอีก ชายผู้นั้นก็กล่าวยกย่องว่าผีฉลาด รู้อะไรไปเสียหมดทุกอย่าง
"แน่ละซี วันนี้เธอไปหาอาจารย์บนเขาฉันยังรู้เลย" ผีรับคำ
ชายผู้นั้นจึงรีบถามคำถามที่หลวงพ่อแนะนำมา
"เธอรู้ดีอย่างนั้น ลองบอกมาซิว่า ถั่วในกำมือนี้มีกี่เมล็ด ?"
ในที่สุด ชายผู้นั้นก็ทราบว่า "ผี" ที่มาหลอกทุกคืนนั้นคืออะไร ผีตอบไม่ได้ เพราะตัวเขาเองไม่ได้นับถั่วไว้ก่อนนั่นเอง

ที่มา : โพสท์ในเวปบอร์ด กองทัพพลังจิต โดยคุณ Kamen rider เมื่อ 10-01-2005
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=3148