User-agent: * Allow: / นิทานเซน Zentale

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

เซ็นเนื้อ เซ็นกระดูก

 นิทานเซ็น เล่าโดย .. ท่านพุทธทาสภิกขุ เรื่อง เซ็นเนื้อ เซ็นกระดูก



 เรื่อง เกี่ยวกับเซ็นเนื้อ เซ็นกระดูก ตามชื่อ ของหนังสือ เล่มหนึ่ง ซึ่งชื่อว่า "เซ็นเนื้อ เซ็นกระดูก" คือ หนังสือ ที่เอามา เล่านิทาน ให้ฟัง นี้เอง ควรจะทราบ ถึงคำว่า เซ็นเนื้อ เซ็นกระดูก ด้วยจะง่าย ในการเข้าใจ



 เซ็นเนื้อ เซ็นกระดูก หมายความว่า ธรรมะ ชั้นที่เป็นเนื้อ เป็นกระดูก ยังไม่ถึง เยื่อในกระดูก ธรรมะชั้นลึกจริงๆ จัดเป็น ชั้นเยื่อในกระดูก นี่เราจะเล่ากัน แต่เรื่อง ชั้นเนื้อ และชั้นกระดูก หมายความว่า ในนั้นมันมี ชั้นเยื่อในกระดูก อีกทีหนึ่ง ถ้าเข้าไม่ถึง มันก็ติดอยู่ แค่เนื้อแค่กระดูก 

เหมือนที่ เราไม่เข้าถึง หัวใจ ของ พระพุทธศาสนา แล้วก็คุยโวอยู่ ซึ่งมันเป็น ชั้นเนื้อ ชั้นกระดูก ทั้งนั้น ไม่ใช่ ชั้นเยื่อในกระดูกเลย และเมื่อจะพูดกัน ถึงเรื่องนี้ เขาเล่านิทานประวัติ ตอนหนึ่งของ ท่านโพธิธรรม คือ อาจารย์ ชาวอินเดีย ที่ไป ประเทศจีน ที่ไป ประดิษฐาน พระพุทธศาสนา นิกายธยานะ ลงไปใน ประเทศจีน ซึ่งต่อมา เรียกว่า นิกายเซ็น ญี่ปุ่นเรียกว่า เซ็น หรือภาษาจีน เรียกว่า เสี่ยง



เมื่อท่านโพธิธรรม อยู่ในประเทศจีน นานถึง ๙ ปี ท่านก็อยากจะ กลับอินเดีย ทีนี้ไหนๆ จะกลับทั้งที อยากจะลอง สอบดูว่า บรรดาศิษย์ ต่างๆ ที่สอนไว้ที่นี่ ใครจะรู้อะไร กี่มากน้อย ก็เลยเรียก มาประชุม ถามทำนอง เป็นการสอบไล่ว่า ธรรมะที่แท้จริง นั้นคืออะไร ข้อสอบ มีเพียงสั้นๆว่า "ธรรมะที่แท้จริง นั้นคืออะไร?"

ศิษย์ชั้นหัวหน้าศิษย์ ที่เรียกว่า ศิษย์ชั้นมีปัญญา เฉียบแหลม ชื่อ ดูโฟกุ ก็พูดขึ้นว่า "ที่อยู่ เหนือ การยอมรับ และ อยู่เหนือ การปฏิเสธ นั้นแหละ คือ ธรรมะ ที่แท้จริง" คำตอบอย่างนี้ ก็ถูกมากแล้ว ถ้า ผู้ใดฟัง ไม่เข้าใจเรื่องนี้ พึงจัดตัวเองว่า เป็นผู้ที่ ยังไม่รู้ธรรมะได้เลย ไม่รู้ธรรมะ อะไรเลยก็ว่าได้ ถ้าไม่รู้จัก สิ่งที่เหนือ การยอมรับ และการปฏิเสธ



ท่านอาจารย์ ก็บอกว่า "เอ้า! ถูก! แกได้ หนัง ของฉันไป" นี้ หมายถึง หนังที่หุ้มชั้นนอก ไม่ใช่เนื้อ ไม่ใช่กระดูก คือ ชั้นหนังแท้ๆ เสร็จแล้ว คนนี้ นั่งลง

นางชีคนที่ชื่อ โซจิ ก็ยืนขึ้น แล้วบอกว่า "สิ่งที่เห็นครั้งเดียว แล้วเป็น เห็นหมด เห็นตลอดกาล นั่นแหละ คือธรรมะแท้จริง"

ท่านอาจารย์ ก็บอกว่า " เอ้า! ถูก! แกได้ เนื้อ ของฉันไป" คือมัน ถูกกว่า คนทีแรก จึงได้เนื้อไป แล้วเขาก็นั่งลง

คนที่สาม ยืนขึ้น ตอบว่า "ที่ไม่มีอะไรเลย นั่นแหละ คือ ธรรมะ" เขาใช้คำว่า ไม่มีอะไรเลย เท่านั้น แต่เรา ขยายความ ออกไป ก็ได้ว่า ไม่มีอะไร ที่ถือ เป็นตัวตน เลย นั่นแหละ คือธรรมะแท้จริง

อาจารย์ ก็บอกว่า "ถูก! แกได้ กระดูก ของฉันไป" คือ ลึกถึง ชั้นกระดูก



ศิษย์อีกคนหนึ่ง เป็นศิษย์ก้นกุฎิ ชื่อ เอก้า ยืนขึ้น หุบปากนิ่ง แล้วยัง เม้มลึก เข้าไป ซึ่งแสดงว่า นิ่งอย่างที่สุด เป็นการแสดงแก่อาจารย์ว่า นี่แหละ คือ ธรรมะ การที่ต้อง หุบปาก อย่างนี้แหละ คือธรรมะ อาจารย์ ก็ว่า "เออ! แกได้ เยื่อในกระดูก ของฉันไป"

นิทานเรื่องนี้ สอนว่าอย่างไร บรรดา ครูอาจารย์ ทั้งหลาย ซึ่งล้วนแต่มี สติปัญญา ได้ศึกษา เล่าเรียน มามาก จงลองคิดดู 

          คำตอบที่ว่า อยู่เหนือ การยอมรับ และปฏิเสธนั้น ยังถูกน้อยกว่า คนอื่น 
          ส่วนผู้ที่ตอบว่า ลงเห็นทีเดียวแล้ว เห็นหมด และ เห็นตลอดกาล ด้วย นี่ยังถูกกว่า 
          แล้วที่ว่า ไม่มีอะไรเลยนั้น ยิ่งถูกไปกว่าอีก 
          แล้วที่ถึงกับว่า มันพูดอะไรออกมาไม่ได้ มันแสดงออกมาเป็น คำพูด ไม่ได้ จนถึงหุบปากนิ่งนี้ ยิ่งถูกกว่าไปอีก 

นี่แหละ พวกเรามี สติปัญญา ละเอียด สุขุม แยบคาย มีความสำรวม ระมัดระวัง สงบอกสงบใจมาก จนถึงกับว่า ไม่หวั่นไหว และเข้าใจ เรื่องไม่หวั่นไหว หรือไม่มีอะไรนี้ได้หรือไม่ 

ขอให้ลองคิดดู ถึงจะยังทำเดี๋ยวนี้ไม่ได้ ก็ขอให้เข้าใจว่า แนวของมัน เป็นอย่างนั้น คนที่รู้ อะไรจริงๆ แล้ว จะไม่พูดอะไรเลย เพราะรู้ซึ้ง ถึงขนาดที่อยู่ เหนือวิสัย ของการบรรยายด้วยคำพูด 

อย่างที่ เล่าจื้อ ว่า "คนรู้ไม่พูด คนที่พูด นั้นไม่ใช่ คนรู้" นี่ก็หมายถึง ตัวธรรมะจริงๆ นั้น มันพูดไม่ได้ ถึงแม้ ที่อาตมา กำลังพูด อยู่นี่ ก็เหมือนกัน ยังไม่ใช่ธรรมะจริง เพราะมันยังเป็น ธรรมะที่พูดได้ เอามาพูดได้ 

ลองทบทวนดูว่า ท่านเคยเข้าใจ ซึมซาบ ในความจริง หรือ ในทฤษฎีอะไร อย่างลึกซึ้ง จนท่านรู้สึกว่า ท่านไม่อาจ บรรยาย ความรู้สึก อันนั้น ออกมา ให้ผู้อื่นฟัง ได้จริงๆ บ้างไหม? ถ้าเคย ก็แปลว่า ท่านจะเข้าใจถึง สิ่งที่พูด เป็นคำพูด ไม่ได้



ธรรมะจริง มันพูดไม่ได้ ต้องแสดงด้วย อาการ หุบปาก แต่ขอให้ถือว่า เรากำลังพูดกัน ถึงเรื่องวิธี หรือ หนทาง ที่จะเข้าถึงธรรมะจริง ก็แล้วกัน แต่ว่า เมื่อเข้าถึงธรรมะจริง แล้ว มันเป็นเรื่อง ที่จะต้อง หุบปาก แต่ถึงกระนั้น มันก็เป็นสิ่งที่ จะต้องถึงเข้าข้างหน้า เป็นแน่นอน ไม่มี ครูบาอาจารย์คนไหน จะมีอายุเท่านี้ อยู่เรื่อยไป คงจะเป็นผู้ใหญ่ เป็นคนเฒ่า คนแก่ เห็นโลก ในด้านลึก เห็นชีวิต ด้านลึก โดยสิ้นเชิง เป็นแน่ ฉะนั้นจึงควรเตรียมตัวที่จะเข้าถึง แนวของ ธรรมะ เสียแต่ป่านนี้ จะไม่ขาดทุน และก็ไม่ใช่ว่า เป็นเรื่องเศร้า หรือ เป็นเรื่องน่าเบื่อจนเกินไป

ในที่สุด เราจะต้องมานึกกัน ถึงเรื่อง เปลือก และ เนื้อ บ้าง นิทาน ทั้งหลายนั้น มันเหมือนเปลือก ส่วน spirit ของนิทานนั้น เหมือนกับเนื้อใน แต่ว่า เปลือกกับเนื้อ จะต้องไปด้วยกัน ครูบาอาจารย์ ทั้งหลาย อย่าได้เกลียด เปลือก และ อย่า ได้ยึดมั่น ถือมั่น เอาแต่เนื้อ มันจะเน่าไปหมด 


ข้อนี้หมายความว่า ถ้าเนื้อไม่มีเปลือก มันจะเน่า จะต้องเป็นเนื้อที่เน่า เนื้อที่มีเปลือก เท่านั้น ที่จะไม่เน่า เหมือนอย่างผลไม้ ถ้าไม่มีเปลือก เนื้อมันจะอยู่ได้อย่างไร จะเป็นมังคุด ทุเรียนอะไรก็ตาม ถ้ามันไม่มีเปลือก ของมัน เนื้อของมันจะอยู่ได้อย่างไร จะสำเร็จประโยชน์ ในการบริโภคของเราได้อย่างไร 

ทั้งที่เราต้องการบริโภคเนื้อ เปลือกของมัน ก็ต้องมี หรือว่า การที่ผลไม้มันจะออกมาจากต้น มีดอกแล้ว จะเป็นลูก มันยังต้อง เอาเปลือกออกก่อน เพื่อให้เนื้อ อาศัยอยู่ในเปลือก แล้วเจริญขึ้น ถ้าไม่มีเปลือก ส่งเนื้อ ออกมาก่อน มันก็เป็นต้นไม้ ที่โง่อย่างยิ่ง คือ มันจะเป็นผลไม้ขึ้นมาไม่ได้ เพราะเยื่อนั้น จะต้องเป็นอันตราย ไปด้วย แสงแดด ด้วยลม ด้วยอะไรต่างๆ หรือ มดแมลง อะไรก็ตาม 

ฉะนั้น มันต้องมีเปลือก ที่แน่นหนา เกิดขึ้นก่อน เนื้อเจริญขึ้น ในนั้น ก็เป็นผลไม้ ที่เติบโต แก่ สุก บริโภคได้ นั่นคือ คุณค่าของเปลือก มองดูอีกแง่หนึ่ง มันก็ยิ่งกว่าเนื้อ มันมีค่า มากกว่า เนื้อก็ได้ เพราะ มันทำให้ เนื้อ เกิดขึ้นได้ สำเร็จประโยชน์ แต่เราก็ ไม่มีใคร กินเปลือก เพราะ ต้องการจะ กินเนื้อ ฉะนั้น เราจะต้องจัด เปลือก และ เนื้อให้ กลมกลืน กันไป


นิทานอิสป หรือ นิทานอะไรก็ตาม ตัวนิทาน มันเหมือนกันกับ เปลือก ที่จะรักษา เนื้อใน ไว้ ให้คงอยู่ มาจนถึงบัดนี้ได้ ถ้าไม่ใส่ไว้ ในนิทานแล้ว ความคิดอันลึกล้ำ ของอิสป อาจจะไม่มาถึงเรา มันสูญเสียก่อนนานแล้ว และ จะไม่มีใคร สามารถ รับช่วงความคิด นั้นมาถึงเรา 


เพราะว่า เขาไม่มี การขีด การเขียน ในสมัยนั้น หรือว่า เอาตัวอย่างกัน เดี๋ยวนี้ว่า ชนชาติเอสกิโม ทางแลปแลนด์ ทางขั้วโลกเหนือนั้น ก็ยังมีวัฒนธรรม หรืออะไรของเขา เล่าต่อกันมา เป็นพันๆปี ยังพูด ยังเล่า ยังสอนกันอยู่ ชนพวกนี้ ไม่มีหนังสือเลย เดี๋ยวนี้ก็ยัง ไม่มีหนังสือ พวกเอสกิโม อยู่ใน "อิกลู" หรือ กระท่อม ที่ทำขึ้นด้วย แท่งน้ำแข็ง แต่พอถึง เย็นค่ำลง ก็จุดตะเกียง เข้าใน กระท่อม แล้วคนที่แก่ ชั้นปู่ ก็นั่งลง เล่าสิ่งต่างๆ ที่ได้ยิน มาจาก บิดา จากปู่ จากทวด เด็กเล็กๆ ก็มา นั่งล้อม และ ฟัง ไม่ใช่ฟังเฉยๆ จำด้วย ทำอย่างนี้ไป เรื่อยทุกวันๆ 




จนเด็กเหล่านี้ โตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ เป็นบิดา เป็นปู่ ก็ยังเล่าต่อไปอีก ฉะนั้น จึงสืบสิ่งต่างๆ ไปได้เป็นพันๆ ปี แล้วก็อยู่ใน "เปลือก" คือนิทานทั้งนั้น เขาจะต้อง เล่าเป็นนิทาน อย่างนั้น ชื่อนั้น ที่นั่น อย่างนั้นๆ ทั้งนั้น นั่นแหละ คือ อานิสงฆ์ ของเปลือก


Image: FreeDigitalPhotos.net

ช่างไม่เมตตาเสียเลย


นิทานเซ็น เล่าโดย .. ท่านพุทธทาสภิกขุ เรื่อง ช่างไม่เมตตาเสียเลย


 เขาให้ชื่อเรื่องว่า "ช่างไม่เมตตาเสียเลย" อาตมา แปลออกมา ตามตัว ว่า "ช่างไม่เมตตาเสียเลย" เขาเล่าว่า ในประเทศจีน ในสมัยที่ นิกายเซ็น กำลังรุ่งเรืองมาก อีกเหมือนกัน ใครๆ ก็นิยมนับถือภิกษุ ในนิกายเซ็นนี้ มียายแก่ คนหนึ่ง เป็นอุปัฎฐาก ของภิกษุองค์หนึ่ง ซึ่งปฏิบัติเซ็น ด้วยความศรัทธา อย่างยิ่ง มาเป็นเวลาถึง ยี่สิบปี แกได้ สร้างกุฏิน้อยๆ ที่เหมาะสม อย่างยิ่งให้ และส่งอาหารทุกวัน นับว่า พระภิกษุองค์นี้ ไม่ลำบาก ในการจะปฏิบัติ สมาธิภาวนาอะไรเลย แต่ในที่สุด ล่วงมาถึง ๒๐ ปี ยายแก่ เกิดความสงสัย ขึ้นมาว่า พระรูปนี้ จะได้อะไร เป็นผลสำเร็จ ของการปฏิบัติ บ้างไหม ที่มัน จะคุ้มกันกับ ข้าวปลาอาหาร ของเรา ที่ส่งเสียมาถึง ๒๐ ปี 



เพื่อให้รู้ความจริงข้อนี้ แกก็คิดหาหนทาง ในที่สุด พบหนทางของแก คือ แกขอร้อง หญิงสาวคนหนึ่ง ที่มีหน้าตาท่าทางอะไรๆ ยั่วยวน ไปหมด ให้ไปหา พระองค์นั้น โดยบอกว่า ให้ไปที่นั่น แล้วไปกอด พระองค์นั้น แล้วถามว่า เดี๋ยวนี้ เป็นอย่างไรบ้าง ผู้หญิงคนนั้น ก็ทำอย่างนั้น พระองค์นั้นตอบ ด้วยถ้อยคำเป็น กาพย์กลอน  ซึ่งค่อนข้างเป็น คำประพันธ์ ตามธรรมดา ของบุคคลบางคน ที่มีนิสัย ทางคำประพันธ์ ตรงนี้เขาเขียน เป็นคำประพันธ์ ซึ่งแปลเป็น ตัวหนังสือ ก็จะเท่ากับว่า

"ต้นไม้แก่ ใบโกร๋น บนยอดผา ฤดูหนาวทั้งคราวลม ระดมมา อย่ามัวหาไออุ่น แม่คุณเอย" ว่าอย่างนี้ เท่านั้น แล้วไม่ว่าอะไรอีก ไม่มีอะไร ที่จะพูดกันรู้เรื่องอีก



หญิงสาว คนนั้น ก็กลับมาบอก ยายแก่ อย่างที่ว่านั้น ยายแก่ก็ขึ้นเสียง ตะบึงขึ้นมาว่า คิดดูทีซิ ฉันเลี้ยงไอ้หมอนี่ that fellow ซึ่งตรงกับ ภาษาไทยว่า อ้ายหมอนั่น มาตั้ง ๒๐ ปีเต็มๆ มันไม่มีอะไรเลย แม้จะเพียง แสดงความเมตตา ออกมาสักนิดหนึ่ง ก็ไม่มี ถึงแม้จะไม่สนอง ความต้องการ ทางกิเลส ของเขา ก็ควรจะ เอ่ยปาก เป็นการแสดง ความเมตตา กรุณา หรือ ขอบคุณ บ้าง นี่มันแสดงว่า เขาไม่มี คุณธรรม อะไรเลย ฉะนั้น ยายแก่ ก็ไปที่นั่น เอาไฟเผา กุฎิ นั้นเสีย และ ไม่ส่งอาหาร ต่อไป แล้วนิทานของเขาก็จบ


นิทานนี้ สอนว่าอย่างไร จะเห็นว่าอย่างไร ก็ลองคิดดู คนบางคน เขาย่อมต้องการอะไร อย่างที่ตรงกันข้าม กับที่เราจะนึก จะฝันก็เป็นได้ นี่จงดูสติปัญญา ของคนแก่ ซิ แกมี แบบแห่งความ ยึดมั่น ถือมั่น ของแกเอง เป็นแบบหนึ่ง ยิ่งแก่ ยิ่งหนังเหนียว คือ หมายความว่า มันยิ่ง ยึดมั่นถือมั่นมาก 

ฉะนั้น ถ้าเราจะไปโกรธ คนที่มีความคิด อย่างอื่น มีหลักเกณฑ์ อย่างอื่น มีความเคยชิน เป็นนิสัย อย่างอื่น นั้นไม่ได้ เราต้องให้อภัย เราไม่โกรธใครเร็วเกินไป หรือเราไม่โกรธใครเลย นั่นแหละดีที่สุด และจะเป็น ครูบาอาจารย์ ที่มีความสุขที่สุด แล้วจะเป็น ครูบาอาจารย์ ที่ทำหน้าที่ ได้ดีที่สุดด้วย และสนุกที่สุดด้วย ฉะนั้น ขอให้จำไว้ว่า คนเรานั้น มีอะไรที่ ไม่เหมือนกัน มีอะไรที่ ไม่นึกไม่ฝัน กันมาก ถึงอย่างนี้




Image:FreeDigitalPhotos.net

ความเชื่อฟัง

นิทานเซ็น เล่าโดย .. ท่านพุทธทาสภิกขุ เรื่อง ความเชื่อฟัง


 นิทานเรื่องที่สี่ เรียกว่า เรื่อง "ความเชื่อฟัง" ธฺยานาจารย์ ชื่อ เบ็งกะอี เป็นผู้มีชื่อเสียง ในการเทศนาธรรม คนที่มาฟังท่านนั้น ไม่ใช่เฉพาะแต่ ในวงของ พวกนิกายเซ็น พวกนิกายอื่น หรือคนสังคมอื่น ก็มาฟังกัน ชนชั้นไหนๆ ก็ยังมาฟัง เพราะว่า ท่านไม่ได้เอา ถ้อยคำในพระคัมภีร์ หรือในหนังสือ หรือ ในพระไตรปิฎก มาพูด แต่ว่าคำพูด ทุกคำนั้น มันหลั่งไหล ออกมาจาก ความรู้สึกในใจ ของท่านเองแท้ๆ 


ผลมันจึงเกิดว่า คนฟังเข้าใจ หรือชอบใจ แห่กันมาฟัง จนทำให้ วัดอื่น ร่อยหรอ คนฟัง เป็นเหตุให้ ภิกษุรูปหนึ่ง ในนิกาย นิชิเรน โกรธมาก คิดจะทำลายล้าง อาจารย์เบ็กกะอี คนนี้อยู่เสมอ

 วันหนึ่ง ในขณะที่ท่านองค์นี้ กำลังแสดงธรรม อยู่ในที่ประชุม พระที่เห็นแก่ตัวจัด องค์นั้น ก็มาหยุดยืน อยู่หน้าศาลา แล้วตะโกนว่า เฮ้ย! อาจารย์เซ็น หยุด ประเดี๋ยวก่อน ฟังฉันก่อน ใครก็ตาม ที่เคารพท่าน ท่านจะทำอย่างไร ที่จะทำให้ฉัน เคารพเชื่อฟังท่านได้ เมื่อภิกษุอวดดี องค์นั้น ร้องท้า ไปตั้งแต่ ชายคาริมศาลา ท่านอาจารย์เบ็งกะอี ก็ว่า มาซี ขึ้นมานี่ มายืนข้างๆฉันซี แล้วฉันจะทำให้ดูว่า จะทำอย่างไร พระภิกษุนั้น ก็ก้าวพรวดพราดขึ้นไป ด้วยความทะนงใจ ฝ่าฝูงคนเข้าไปยืนหราอยู่ข้างๆท่านอาจารย์
เบ็งกะอี ท่านอาจารย์เบ็งกะอี ก็ว่า ยังไม่เหมาะ มายืนข้างซ้าย ดีกว่า พระองค์นั้น ก็ผลุนมาทีเดียว มาอยู่ข้างซ้าย ท่านอาจารย์เบ็งกะอี ก็บอกอีกว่า อ๋อ! ถ้าจะพูดให้ถนัด ต้องอย่างนี้ ต้องข้างขวา ข้างขวา พระองค์นั้น ก็ผลุนมาทางขวา พร้อมกับมีท่าทาง ผยองอย่างยิ่ง พร้อมที่จะท้าทาย อยู่เสมอ 
ท่านอาจารย์เบ็งกะอีจึงว่า เห็นไหมล่ะ ท่านกำลัง เชื่อฟังฉันอย่างยิ่ง และในฐานะ ที่ท่านเชื่อฟัง อย่างยิ่งแล้ว ฉะนั้น ท่านจงนั่งลง ฟังเทศน์เถิด นี่เรื่องก็จบลง



นิทานเรื่องนี้ มันสอนว่าอย่างไร เหมือนพระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า นิวาโต เอตมฺมงฺคลมุตตมํ วาโต ก็เหมือนกะ สูบลมอัดเบ่งจนพอง ถ้า นิวาโต ก็คือ ไม่พองไม่ผยอง เป็นมงคลอย่างยิ่ง 

ข้อนี้ ย่อมแสดงว่า มีวิชาความรู้ อย่างเดียว นั้นไม่พอ ยังต้องการ ไหวพริบ และ ปฏิภาณ อีกส่วนหนึ่ง พระองค์นี้ ก็เก่งกาจ ของ นิกายนิชิเรน ในญี่ปุ่น แต่มาพ่ายแพ้อาจารย์ ที่แทบจะไม่รู้หนังสือ เช่นนี้ ซึ่งพูดอะไร ก็ไม่อาศัยหนังสือ เพราะบางที ก็ไม่รู้หนังสือเลย แพ้อย่างสนิทสนม เพราะขาดอะไร ก็ลองคิดดู พวกฝรั่งก็ยังพูดว่า Be wise in time ฉลาดให้ทันเวลา โดยกระทันทัน ซึ่งบาลีก็มีว่า "ขโณ มา โว อุปจฺจคา" ขณะสำคัญ เพียงนิดหนึ่ง นิดเดียวเท่านั้น อย่าได้ผ่านไปเสียนะ ถ้าผ่านไป จะต้องมีอย่างยิ่ง มิฉะนั้น จะควบคุมเด็ก ไม่อยู่ 

เราลองคิดดูซิว่า เด็กๆของเรา มีปฏิภาณเท่าไร เราเองมี ปฏิภาณเท่าไร มันจะสู้กัน ได้ไหม ลองเทียบไอคิว ในเรื่องนี้ กันดู ซึ่งเกี่ยวกับ ปฏิภาณนี้ ถ้าครูบาอาจารย์เรา มีไอคิว ในปฏิภาณนี้ ๕ เท่าของเด็กๆ คือ เหนือเด็ก ห้าเท่าตัว ก็ควรจะได้รับเงินเดือน ห้าเท่าตัว ของที่ควรจะได้รับ หรือว่าใครอยากจะเอา สักกี่เท่า ก็เร่งเพิ่มมันขึ้น ให้มีปฏิภาณไหวพริบ จนสามารถ สอนเด็ก ให้เข้าใจ เรื่องกรรม เรื่องอนัตตา เรื่องนิพพาน ได้อย่างไรทีเดียว นี่คือ ข้อที่จะต้อง อาศัยปฏิภาณ ซึ่งวันหลัง ก็คงจะได้พูดกัน ถึงเรื่องนี้บ้าง.




Image:FreeDigitalPhotos.net

ใกล้พระพุทธเจ้าเข้าไปแล้ว





นิทานเซ็น เล่าโดย .. ท่านพุทธทาสภิกขุ เรื่อง ใกล้พระพุทธเจ้าเข้าไปแล้ว

"ใกล้พระพุทธเจ้าเข้าไปแล้ว" นี้ลองฟังให้ดี จะได้รู้ว่า เราใกล้ พระพุทธเจ้า เข้าไปแล้ว  
หรือไม่ 


นักศึกษา ในมหาวิทยาลัย แห่งหนึ่ง ได้ไปเยี่ยม ธยานาจารย์ คือ อาจารย์แห่ง นิกายเซ็น แห่งหนึ่ง ชื่อว่า กาซาน เพราะ นิสิตคนนั้น เขาแตกฉาน ในการศึกษา เขาจึงถาม อาจารย์กาซานว่า เคยอ่าน คริสเตียน ไบเบิล ไหม ท่านอาจารย์ กาซาน ซึ่งเป็นพระเถื่อน อย่งพระสมถะ นี้จะเคยอ่าน ไบเบิล ได้อย่างไร จึงตอบว่า เปล่า ช่วยอ่าน ให้ฉันฟังที

นิสิตคนนั้น ก็อ่าานคัมภีร์ไบเบิล ตอน Saint Mathew ไปตามลำดับ จนถึงประโยคที่ว่า ไม่ต้องห่วงอนาคต คือไม่ต้องห่วงวันพรุ่งนี้ วันพรุ่งนี้ มันจะเลี้ยงตัวมันเองได้ แม้แต่ นกกระจอก ก็ไม่อดตาย ทำนองนี้

ท่านอาจารย์ กาซาน ก็บอกว่า ใครที่พูดประโยคนี้ได้ ฉันคิดว่า เป็นผู้รู้แจ้งคนหนึ่งทีเดียว คือเป็น An enlighten one คนหนึ่ง ทีเดียว แต่นิสิตคนนั้น ก็ยังไม่หยุดอ่าน คงอ่านต่อไป มีความว่า "ขอเถิด แล้วจะได้ จงแสวงหาเถิด แล้วจะพบ จงเคาะเข้าเถิด แล้วมันจะเปิดออกมา เพราะว่า ใครก็ตามที่ขอแล้ว จะต้องได้รับ ใครก็ตาม ที่แสวงหา แล้วย่อมได้พบ และใครก็ตาม ที่เคาะเข้าแล้ว ประตูก็จะเปิดออกมา"

พอถึงตอนนี้ อาจารย์ กาซาน ก็ว่า แหม วิเศษที่สุด ใครก็กล่าว อย่างนี้ ก็ใกล้ พระพุทธเจ้า เข้าไปแล้ว นิทานของเขาก็จบ




นิทานเรื่องนี้ จะสอนว่า อย่างไร? หมายความว่า ถ้ารู้ธรรมะจริง จะไม่เห็นว่า มีลัทธิคริสเตียน หรือ พุทธ หรือ อะไรอื่น ในจิตใจ ของผู้รู้ธรรมะ จริง จะไม่รู้สึกว่า มีคริสต์ มีพุทธ มีอิสลาม มีฮินดู มีอะไร เพราะไม่ได้ ฟังชื่อเสียง เหล่านั้น ไม่ต้องเป็น นิกายอะไร ครูบาอาจารย์ สำนักไหน คัมภีร์อะไร อ้างหลักฐานชนิดไหน ไม่มีจิตใจ หรือ ความรู้สึก ที่ค้านหรือ รับฟังถ้อยคำเหล่านั้น จะฟังแต่ เนื้อหา ของธรรมะนั้น และก็ เนื้อหา ของธรรมะสูง ก็รู้ได้ว่า มันเป็นอย่างไร สูง ต่ำ ก็รู้ว่า สูงต่ำ อย่างที่ว่า เคาะเข้าเถิด จะเปิดออกมานี้ มันก็เหมือนอย่งที่เราพูดว่า ถ้าปฏิบัติให้ถูก มันก็จะง่าย ง่ายที่สุด ในการที่จะบรรลุนิพพาน เดี๋ยวนี้ ไปนอนหลับสบายกันเสียหมด ทั้งพระ ทั้งฆราวาส ก็ได้ ไม่มีใครเคาะ ไม่มีใครแสวงหา หรือ ไม่มีใครขวนขวาย นั่นเอง ถ้าฟังกันแต่ เนื้อหาธรรมะ แล้ว มันไม่มีพุทธ ไม่มีคริสเตียน หรือ ไม่มีเซ็น ไม่มีเถรวาท ไม่มีมหายาน อย่างนี้ ไม่มีอาการ ที่จะเป็นเขา เป็นเราเลย จิตมันว่างเสียเรื่อย มันจึงมีเขาฝ่ายหนึ่ง ก็ไม่ได้ มีเราอีกฝ่ายหนึ่ง ก็ไม่ได้ ฉะนั้น ความกระทบกัน ระหว่างเขา กับเรา ไม่อาจจะเกิด ไม่มีทางจะเกิด ไม่มีพื้นฐานจะเกิด เห็นธรรมะ เป็นพระเป็นเจ้า เห็นพระเป็นเจ้า เป็นธรรมะไปเสียเลย




 เหมือนอย่างว่า พระเป็นเจ้า ของฝ่ายที่ถือศาสนา พระเป็นเจ้านั้น มีการสร้าง มีการทำลาย มีการให้รางวัล มีการทำอะไร ทุกอย่าง ตามหน้าที่ ของพระผู้เป็นเจ้า เราก็มีสิ่งที่ทำหน้าที่อย่างนั้น ครบทุกอย่าง เหมือนกัน แต่เราไปเรียกว่า ธรรม เหมือนกับ ความหมายของ คำว่า ธรรมะ ที่อธิบายแล้ว ในการบรรยายครั้งที่ ๑ นั้น ไม่มีอะไร นอกจาก ธรรมะ แล้วความโง่ ความหลง คือ อวิชชา ต่างหาก ที่ไปสมมติ ให้ว่า เป็นชื่อนั้น ชื่อนี้ อย่างนั้น อย่างนี้ พวกนั้น พวกนี้ จนมีเรา เมีเขา จริยธรรมทั้งหมด ของธรรมชาติ ทั้งหมด นั้น มีเรื่องเดียว แนวเดียว สายเดียว

ขอให้สนใจ ในความจริง ข้อนี้ เถอะว่า จริยธรรม ทั้งหมด ของโลกนี้ หรือ ของโลกอื่นด้วยก็ได้ ย่อมมีแนวเดียว และสายเดียว และตรง เป็นอันเดียวกัน ไม่ต้องพูดกันว่า ของประเทศนั้น ประเทศนี้ ศาสนานั้น ศาสนานี้ ในโลกเดียวกันนี้ ถึงแม้ว่า สิ่งที่เป็น จริยธรรม จะมีหลายรูป หรือ หลายเหลี่ยม ดังที่กล่าวมาแล้ว แต่วันแรกนั้น ก็ยังเป็น อันเดียว แนวเดียว สายเดียวกัน อยู่นั่นเอง มีแต่ว่า ระบบไหน ใกล้จุดปลายทาง หรือยัง เท่านั้น แต่เรื่อง ต้องเป็น เรื่องเดียวกันหมด ขึ้นชื่อว่า ธรรมะแล้ว ต้องเป็น เรื่องเดียวกันหมด แต่ว่า อันไหน หรือ ที่ใครกล่าวนั้น มันใกล้จุดปลายทาง เข้าไปหรือยัง 




ฉะนั้น เราอย่าได้รังเกียจ อย่าได้ชิงชัง ว่า คนนั้น คนนี้ เป็นคริสเตียน แล้วก็จะต้องเป็นศัตรู เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ขึ้นมา ทีเดียว ถ้าถืออย่างนี้ ก็แปลว่า ไม่รู้ธรรมะ ยิ่งเป็น ครูบาอาจารย์ ด้วยแล้ว ไม่ควรจะไปรู้สึกทำนองนั้น เป็นอันขาด