User-agent: * Allow: / นิทานเซน Zentale

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

สูตรสำเร็จ




"ทางตะวันออกหรือเอเชียเรา ไม่เน้นที่สูตรสำเร็จ ไม่คิดว่าจะมีสูตรสำเร็จตายตัวใดๆ ในการแก้ปัญหา "

ท่านอาจารย์โตสุย เป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่สมัยหนึ่ง ท่านเคยไปพำนักเพื่อทำการสอนศิษย์อยู่ในวัดตามมณฑลต่างๆเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ท่านประจำอยู่ในวัดสุดท้ายนั้น ท่านมีลูกศิษย์เป็นจำนวนมาก แต่ต่อมาวันหนึ่งท่านบอกลูกศิษย์ของท่านว่า ท่านจะเลิกทำการสอนตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ส่วนลูกศิษย์นั้น ผู้ใดมีความประสงค์จะไปอยู่กับอาจารย์อื่น ณ แห่งใด ก็อาจไปได้ตามใจชอบ

ต่อจากนั้นท่านก็เดินทางจากไปโดยไม่มีใครพบเห็นท่านอีก



3 ปีต่อมา ได้ยินศิษย์ของท่านคนหนึ่ง ไปพบท่านอาจารย์โตสุยร่วมพักอยู่กับขอทานที่ใต้สะพานแห่งหนึ่งในเมืองเกียวโต ศิษย์ผู้นั้นจึงเข้าไปกราบ และขอให้ท่านอาจารย์ทำการสอนตนอีก อาจารย์โตสุยได้กล่าวว่า " ถ้าเจ้าสามารถจะทำได้เหมือนข้าสัก2วัน ข้าจะสอนเจ้า "

ศิษย์ผู้นั้นตอบตกลง และเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นคนขอทานแล้วพักรวมอยู่กับอาจารย์ ณ ใต้สะพานแห่งนั้น วันุร่งขึ้นขอทานคนหนึ่งได้ตายลง อาจารย์โตสุยและลูกศิษย์จึงช่วยกันหามศพนั้นไปฝังไว้ที่เชิงเขาแห่งหนึ่งในกลางดึกของวันนั้น แล้วทั้งสองก็กลับมายังที่พัก

ท่านอาจารย์โตสุยนอนหลับสบาย แต่ลูกศิษย์นั้นไม่สามารถจะหลับได้เลยแม้งีบเดียว พอรุ่งเช้าท่านอาจารย์โตสุยได้กล่าวแก่ศิษย์ว่า"วันนี้เราไม่ต้องออกไปขออาหารหรอก เพราะยังมีของที่เพื่อนที่ตายของเราเหลืออยู่พอ" ว่าแล้วท่านอาจารย์ก็นำอาหารนั้นมารับประทานอย่างเอร็ดอร่อย แต่ศิษย์คนนั้นไม่สามารถที่จะรับประทานอาหารนั้นได้เลยแม้แต่นิดเดียว ท่านอาจารย์โตสุยได้สังเกตเห็นอาการเหล่านั้นของลูกศิษย์จึงพูดขึ้นว่า

"ข้าได้ว่าไว้แล้วว่า เจ้าไม่อาจทำอย่างข้าได้" ท่านโตสุยกล่าวสรุป
"ฉะนั้น เจ้าจงหลีกไปให้พ้นเถิดและอย่ากลับมารบกวนข้าอีกเป็นอันขาด"




ที่มา :ละเอียด ศิลาน้อย.อยู่อย่างเซน.พิมพ์ครั้งที่8:สำนักพิมพ์ดอกหญ้า2000,กรุงเทพมหานคร; 2544


ข้อความหลังจากนี้เป็นสิ่งที่เจ้าของบล็อคเขียนขึ้นเองโดยอาศัยเนื้อหาที่มาจากหนังสืออ้างอิงเล่มที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงความคิดเห็นเพิ่มเติมที่เกี่ยวกับนิทาน หรือหัวข้อ หากมิสิ่งไหนผิดพลาดประการใด เจ้าของบล็อคต้องยอมรับไว้แต่เพียงผู้เดียวด้วยความเคารพ

จากเรื่องนี้ แสดงให้เห็นถึงความเป็นอยู่ของเซน ที่ว่า เซน ไม่มีหลักการที่แน่นอนตายตัว ไม่ใช่ 1+1 จะต้องเป็น 2 เสมอไป แต่การเข้าไปศึกษาเซนนั้น จำเป็นจะต้องมีรูปแบบที่แตกต่างกันไปในแต่ละตัวบุคคล การที่คนๆหนึ่งทำแบบนี้แล้วบรรลุถึงแก่นแท้แห่งธรรม ก็ใช่ว่าเมื่อเราลองทำตามอย่างเขาแล้ว เราจะได้บรรลุธรรมเฉกเช่นเขาผู้นั้น

ในที่นี้ ผู้เขียนไม่บังอาจเขียนเปรียบเทียบในวิธีการปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรมใดๆเลยแม้แต่น้อย เพราะตัวผู้เขียนเองยอมรับว่า ยังเป็นคนที่มีอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง ชอบทานอาหารอร่อยๆ ชอบเสื้อผ้าสวยๆ และชอบดมกลิ่นหอม รวมทั้งชอบที่จะฟังเพลง



แต่เมื่อกล่าวถึงเรื่องของ สูตรสำเร็จแล้ว ผู้เขียนเองขอพูดถึงสิ่งที่ผู้เขียนได้มีความรู้อยู่บ้าง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่วิเศษอะไรเลย แต่เป็นเรื่องของคนธรรมดา ก็ึคือ ความรู้ในการใช้ชีวิตเป็นคนปกติ ที่ยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้แม้หลังจากที่ชีวิตประสบความล้มเหลวอย่างย่อยยับอาจถึงขั้นที่ว่า กลายเป็นคนหมดอนาคต ทั้งๆที่เคยวาดหวังไว้ว่า อนาคตจะสวยงามมากเพียงใด

แต่ทุกอย่างก็พังครืนลงมา ผู้เขียนเองประคองสติแทบไม่ค่อยอยู่ ทุกวันนี้ก็ไม่รู้ว่ายังอยู่ในสภาวะไร้สติหรือไม่ (ไม่ค่อยแน่ใจตัวเอง) แต่ด้วยความรักที่แสนจะบริสุทธิ์จากครอบครัวที่อบอุ่นและคนรอบข้าง ที่ไม่เคยตำหนิผู้เขียนเองเลยแม้แต่น้อย มีแต่คอยให้้กำลังใจและคอยปลอบโยน ทำให้ผู้เขียนกลายเป็นคนที่สามารถที่จะหยัดยืนอยู่ในสังคมต่อได้ แม้ว่า เบื่อที่จะต้องตอบคำถามกับบรรดาญาติๆ

ในสมัยที่เรียนหนังสือตั้งแต่ประถมจนถถึงมัธยมศึกษา ผู้เขียนเองเป็นคนที่เรียนดี ได้เกรดเฉลี่ยที่ค่อนข้างดี ถือว่า ไม่เคยน้อยหน้าใคร สอบแข่งขันชิงทุนอะไร ก็ได้ติดไม้ติดมือกลับมาทุกครั้ง ทำให้เกิดความลำพองใจว่า เราเป็นคนเก่ง และในสังคมที่ผู้เขียนอยู่นั้น คนเก่งจะต้องทำงานเป็น แพทย์ เภสัชกร ทันตแพทย์ วิศวกร อะไรทำนองนั้น เพื่อที่จะพิสูจน์ว่า ตัวเองนั้นเก่งจริง ไม่ใช่เก่งแบบลอกเขามา



ด้วยความที่คิดตามกระแสสังคมบวกกับความหลงว่า ตัวเองคือผู้รู้ คนเก่ง ทำให้ผู้เีขียนลืมมองไปว่า เพราะอะไรที่ทำให้ผู้เขียนนั้น ได้เกรดเฉลี่ย ที่สูง และค่อนข้างน่าพอใจเป็นอย่้างยิ่ง คิดแต่เพียงว่า เก่งแล้วต้องเป็นหมอเท่านั้น พ่อแม่จะได้ภูมิใจ เพราะในสังคมไทย ลูกใครได้เป็นหมอ ก็ยืดอกได้เต็มที่เลย เรียกได้ว่า เป็นอภิชาติบุตร

เกรดเฉลี่ยที่สูงนี้ทำให้ผู้เขียนได้สิทธิ์เข้าสอบตรงในคณะแพทย์ศาสตร์หลายสถาบัน และผลก็คือ ไม่ติดสักแห่ง แต่กระนั้นก็ยังไม่ละความพยายาม ผู้เขียนยังเบนเข็มไปสอบคณะที่ัยังอยู่ในโรงพยาบาลนั่น จนกระทั่งสอบเข้าไปเรียนได้

โดยคะแนนที่คำให้เข้าไปเรียนได้นั้น คือ ภาษาไทย สังคม ภาษาอังกฤษ ที่ได้คะแนนเฉลี่ยคิดเป็น% ได้สูงพอที่จะดึงคะแนนในสายวิทย์ เข้าไปเรียนเป็นอันดับต้นๆของชั้นปีได้

เมื่อเข้าไปเรยีนแล้ว การเรียนในชั้นปีที่1ยังไม่มีอะไรมาก แต่เมื่อเข้าชั้นปีที่2เป็นต้นไป ผู้เขียนได้รั้งตำแหน่ง เจ้าแม่ท้ายตาราง จนได้ตกอันดับ ไปเตะในลีกอื่น เอ้ย ไปเรียนต่อกับรุ่นน้อง และรุ่นน้อง และรุ่นน้องกี่รุ่นไม่รู้ขออนุญาตไม่นับให้ชอกช้ำหัวใจ

 เมื่อคนเราเรียนไม่รู้เรื่องแล้ว ก็จะไม่อยากเข้าเรียน มองเห็นคณะเป็นเหมือนสถานที่อโคจร และ ต้องขอบอกไว้เลยว่า ความผิดในครั้งนี้ ผู้เขียนไม่ขอโทษใครเลยนอกจากตัวผู้เีขียนเอง เพราะว่า ผู้เขียนยังมีความมั่นใจว่า หากผู้เีขียนได้พยายามมากกว่านี้สักนิดเดียว เรื่องแบบนี้ก็ึคงไม่เกิดขึ้นกับชีวิต

สุดท้ายแล้วเพื่อไม่ให้รู้สึกผิดจนเกินไป ผู้เขียนขออนุญาต โทษชะตาชีวิต และจังหวะัของชีวิต นอกจากโทษตัวเองเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจทำให้ผู้เขียนตกอยู่ในภาวะไม่ปกติอีกครั้ง



เอาล่ะ รู้สึกว่าจะออกมาจากเรื่องของสูตรสำเร็จมากเกินไปเสียแล้ว คราวนี้ วกเข้ามาหา สูตรสำเร็จ เสียบ้าง ชีวิตที่ต้องทำให้พ่อกับแม่ร้องให้นั้น ส่วนหนึ่ง ผู้เขียนขออนุญาตโทษกระแสสังคม

กระแสของสังคมไทย ที่บอกว่า คนเก่งต้องเป็นหมอ และ กระแสสังคมไำทย ที่มองว่าา คนเรียนสายวิทย์ไม่ได้เท่านั้นจึงจะไปเรียนสายศิลป์(กระแสเหล่านี้ไม่ได้มีในทุกคน แต่ผู้เขียนถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เล็กๆแบบนั้นจริงๆ)

หากผู้เขียนมองตัวเองว่า มีความถนัดในวิชาอะไร มากกว่าที่จะมองว่า คนเก่งเขาทำงานอะไร เขาเรียนอะไร คนที่ทำให้พ่อแม่ภูมิใจได้นั้น ต้องประกอบวิชาชีพอะไร แต่ให้มองสิ่งที่ตัวเองชอบ และทำได้ดี มองให้เห็นว่า ตัวเองเป็นคนขยันมากแค่ไหน ชีวิตก็คงไม่ใช่แบบนี้

ต้องขอแวะมาเรื่องการเรียนในสายวิทยาศาสตร์การแพทย์อีกครั้งว่า ผู้เขียนต้องยอมรับ คนที่สามารถเรียนจนจบตามปกติจริงๆว่า นอกจากจะเก่งมากแล้ว ยังมีความอดทน พยายาม และถึกเป็นอย่างมาก ไม่งั้นไม่ไหวค่ะ ถ้าพูดกันตอนนี้ ก็ต้องขอบอกว่า นับถือพวกเขาเหล่านั้นมากจริงๆ

ตัวผู้เขียน มีนิสัยเกียจคร้าน นอนดึก ตื่นสาย ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง ไร้วินัย เอาแต่ใจ สกปรก ทำงานตามสั่งไม่ได้ ทำได้แต่ตามใจ ยังบังอาจไปคิดกล้าเรียนสายนี้อีก ทั้งๆที่หากไม่มองที่สูตรสำเร็จของค่านิยมในสังคมแล้วเนี่ย นิสัยแบบนี้ ต้องเรียนสายศิลป์ชัดๆ ก็ยังมั่นใจในความสามารถ และคิดไปว่า เรียนสายนั้นมาจะทำงานอะไร ไม่มองให้ไกลเลยว่า งานมีเยอะแยะสำหรับคนที่มีความสามารถ สุดท้ายชีวิตก็ย่อยยับไปด้วยน้ำมือของความเชื่อมั่นที่มีเยอะเกินไปของตัวเอง



นี่เป็นแค่ตัวอย่างเดียวของการหลงเชื่อในสูตรสำเร็จ ที่ส่งผลทำให้ชีวิตของผู้เขียนเสียหายยับเยินต้องมาพบเจอกับการรู้สึกว่าตัวเองทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ทั้งที่ความตั้งใจที่แท้จริงที่ได้ตัดสินใจเรียนในทางนี้ก็เพราะพ่อแม่ทั้งนั้น

หากย้อนเวลากลับได้ ก็อยากให้รู้ตัวเองสักนิด ว่าต้องการสิ่งใดกันแ่น่ในชีวิต แต่นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ตอนนี้จึงได้แต่เตือนตัวเองว่า สิ่งที่คิดว่าดีสำหรับคนอื่นนั้น สำหรับตัวเราเองอาจจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากที่สุดก็ได้ และ การทำให้พ่อแม่ภูมิใจ ไม่จำเป็ฯจะต้องเป็นหมอเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น แต่การเป็นคนที่เข้มแข็งพอ สามารถอยู่ได้ในทุกสถานการณ์ มีความรู้ความสามารถพอที่จะประกอบชีวิต หรือมีความคิดริเริ่มที่จะกระทำการใดๆได้โดยที่ไม่ต้องมีความเสี่ยงมากนัก และสุดท้ายแล้ว การที่เราสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขต่างหากคือสิ่งที่ำพ่อแม่ต้องการจากลูกอย่างแท้จริง

เพราะสุดท้ายแล้ว ชีวิตคนไม่สามารถถูกกำหนดได้ด้วยสูตรตายตัวแต่เพียงอย่างเดียว การทำตามสูตรที่ยึดถือกันมาอยา่งช้านานใช่ว่าจะต้องประสบผลสำเร็จเสมอไป แต่การรู้จักมองตนอย่างเข้าใจ พร้อมกับรู้จักปรับตัวเองเพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทีี่ได้เข้าไปอยู่

เพื่อให้อยู่อย่างมีความสุขเรื่อยๆ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตนเองจนเกินไป แต่ไม่ใช่ยอมตามกระแสสังคมไปทุกอย่าง หากแต่รู้จักคิดพิจารณาถึงความถ่องแท้ ที่แล้วแต่ว่าจะคิดไปอย่างไร แล้วนำไปใช้ นั่นถึงจะทำให้สามารถดำรงชีวิตได้ อย่างมีความสุขที่แท้จริง